×

ถอดบทเรียนโลกการทำงานจาก The Face Thailand Season 4 All Stars EP.7

01.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • เมนเทอร์สามคนรับบรีฟจากลูกค้าออกมาได้บรีฟมาไม่ตรงกันสักคน จะไม่ตรงเพราะลูกค้าให้รายละเอียดไม่ครบเอง หรือเพราะเมนเทอร์ขุดไม่เจอเองก็ตาม แต่สิ่งที่เราเห็นต่อมาคือ เมื่อรับบรีฟมาผิด ก็ตีโจทย์ผิด บรีฟลูกทีมให้ทำงานต่อผิด สุดท้ายผลงานก็ออกมาไม่ดี เพราะลูกทีมก็ทำตามที่เมนเทอร์บอก ทุกอย่างเป็นโดมิโน่กันหมด
  • เวลารับบรีฟ ให้ทวนสิ่งที่เขาพูดเป็นการสรุปประเด็นก่อนออกจากประชุมว่านี่คือสิ่งที่เรารับบรีฟมา 1-2-3-4-5 โจทย์เป็นแบบนี้ สิ่งที่เราจะทำต่อไปคืออะไรบ้าง สรุปทั้งแบบวาจาและสรุปเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วยกัน ทุกคนรับรู้เท่ากันหมด ช่วยป้องกันการหลงลืมของเราเองที่อาจจะรับบรีฟตกหล่น และป้องกันการพูดไม่รู้เรื่อง บรีฟเรื่อยเปื่อยของคนบรีฟ

 

 

The Face Thailand Season 4 All Stars EP.7 นี้มีโจทย์เป็นการเดินแบบซึ่งรันเวย์มีความต่างระดับสลับไปมา แต่ละคนต้องมีซีนเดินฟินาเล่ของตัวเอง ที่สำคัญคือเป็นการแข่งขันแบบเดี่ยว ลูกทีมคนใดคนหนึ่งในทีมชนะก็รอดกันทั้งทีม ดูแบบนี้เหมือนจะเป็นการแข่งเดี่ยว แต่แต่ละคนก็ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้ทั้งทีมรอดไปด้วย ไม่อย่างนั้นต่อให้เราทำดีแค่ไหน แต่พาทีมชนะไม่ได้ก็คือแพ้ยกทีม และเช่นเคยว่าสัปดาห์นี้ก็ยังมีบทเรียนโลกการทำงานให้เราได้เรียนรู้กันอยู่

 

ติดตามดูรายการ The Face Thailand Season 4 All Stars EP.7 ย้อนหลังได้ที่ tv.line.me/v/2959973

 

*บทความมีการสปอยล์เนื้อหาของรายการ

 

 

อ้าวเฮ้ย! ไม่เหมือนที่บรีฟกันไว้

เมนเทอร์สามคนรับบรีฟจากลูกค้าออกมาได้บรีฟไม่ตรงกันสักคน จะไม่ตรงเพราะลูกค้าให้รายละเอียดไม่ครบเอง หรือเพราะเมนเทอร์ขุดไม่เจอเองก็ตาม แต่สิ่งที่เราเห็นต่อมาคือ เมื่อรับบรีฟมาผิด ก็ตีโจทย์ผิด บรีฟลูกทีมให้ทำงานต่อผิด สุดท้ายผลงานก็ออกมาไม่ดี เพราะลูกทีมก็ทำตามที่เมนเทอร์บอก ทุกอย่างเป็นโดมิโน่กันหมด

 

ในชีวิตการทำงานจริง เราอาจจะเจอสถานการณ์ที่คุยงานกันไว้อย่างหนึ่ง ถึงเวลาเราไปทำงานมา หัวหน้าหรือลูกค้าดันบอกว่าอยากได้อีกแบบ ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ตั้งแต่ต้น มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยิ่งถ้าต้องทำงานกับคนที่พร้อมจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอดอยู่แล้ว จนเราอาจจะรู้สึกว่าทำงานเท่าไรก็ไม่เสร็จสักที เพราะคุยไว้อย่างหนึ่งแต่จะเอางานอีกอย่างหนึ่ง แบบนี้จะทำอย่างไรดี

 

อย่างแรก ทำใจ ตั้งสติก่อน แล้วเวลารับบรีฟ ให้ทวนสิ่งที่เขาพูดเป็นการสรุปประเด็นก่อนออกจากประชุมว่านี่คือสิ่งที่เรารับบรีฟมา 1-2-3-4-5 โจทย์เป็นแบบนี้ สิ่งที่เราจะทำต่อไปคืออะไรบ้าง สรุปทั้งแบบวาจาและสรุปเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ด้วยกัน ทุกคนรับรู้เท่ากันหมด ช่วยป้องกันการหลงลืมของเราเองที่อาจจะรับบรีฟตกหล่น และป้องกันการพูดไม่รู้เรื่อง บรีฟเรื่อยเปื่อยของคนบรีฟ พอทุกคนเข้าใจตรงกันหมด ก็ทำงานกันต่อได้แบบไม่หลงบรีฟ

 

แต่ถ้าขนาดว่ามีสรุปเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอีก (ซึ่งอันนี้ในชีวิตจริงมีแน่นอน) ผมคิดว่าก่อนจะไปถึงงานขั้นสุดท้าย ระหว่างทางเราควรมีการเช็กกับคนบรีฟก่อน เป็นการอัพเดตว่าตอนนี้งานถึงไหนแล้ว และเป็นการเช็กด้วยว่าที่ทำมาถูกหรือเปล่า ใช่อย่างที่เขาต้องการไหม ที่สำคัญ จะเปลี่ยนอะไรหรือเปล่า ดีกว่าไปเซอร์ไพรส์ตอนจบว่า อ้าว…พี่จะเปลี่ยนอีกแล้วเหรอ อย่างน้อยระหว่างทางเรายังมีเวลาแก้ได้อยู่ บางคนอาจจะคิดว่า ยิ่งคุยเขาจะยิ่งเปลี่ยนหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วการเปลี่ยนไม่ได้เป็นปัญหา ปัญหาคือเขาเปลี่ยนแต่เราไม่รู้มากกว่า

 

 

เพราะฉะนั้น ยิ่งคนที่เรารู้ว่าเขาจะเปลี่ยนตลอดเวลา หน้าที่ของเราคือจับเขาให้มั่น คอยทวนว่านี่คือสิ่งที่โจทย์ให้มา พี่พูดแบบนี้ อย่าหลงประเด็น และคอยเช็กทางอยู่เสมอว่ามีอะไรบ้างที่เรารู้ไม่ทันเขา ไม่ได้แปลว่าจะเปลี่ยนไม่ได้นะครับ แต่หมายถึงว่าถ้าจะเปลี่ยนแปลงใดๆ ขอให้อยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เราตกลงกันตั้งแต่ต้น ไม่ใช่รื้อบรีฟใหม่หมด จะเพิ่มเติมใดๆ ขอให้เป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานยิ่งชัดเจนขึ้น ทำให้เราทำงานได้ถูก เพิ่มเติมแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ใช่เพิ่มมาแล้วเสียเวลา

 

ทำงานกับคนสิ่งที่ต้องเจออยู่ตลอดคือความเปลี่ยนแปลง ถ้าเราทำงานกับคนได้ เราจะเข้าใจและอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้ครับ   

 

 

อย่าเอาเรื่องเซนสิทีฟในทีมไปบอกคนอื่น

เจนนี่กับทรายได้รับเลือกให้ไปอยู่ในห้องดำ ดูจากเกมแล้วทั้งคู่ไม่ใช่คนที่อ่อนที่สุดที่ควรจะเข้ามา โดยเฉพาะทรายซึ่งถือว่าทำผลงานได้ดีมากมาโดยตลอด เมนเทอร์คริสเองที่ต้องมาตัดสินคัดลูกทีมออกก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงเป็นสองคนนี้

 

ทรายแสดงออกอย่างชัดเจนให้เมนเทอร์คริสรู้ว่าเธอไม่พอใจการตัดสินใจของเมนเทอร์ทีมตัวเอง และมีคำถามว่าตัวเองจะสู้ไปเพื่ออะไร เป็นการเผยให้คู่แข่งรู้ว่าทีมของเธออยู่ในสภาวะที่เปราะบาง มีความขัดแย้งกันเองระหว่างเมนเทอร์กับลูกทีม และลูกทีมกันเอง เป็นการแบจุดอ่อนของทีมให้คู่แข่งมาขยี้ได้ต่อ ในขณะที่เมนเทอร์คริสยิงไปที่เจนนี่ว่า บอกพี่มาว่าใครเป็นลูกรัก เจนนี่ตอบว่า เมนเทอร์รักทุกคนเท่ากัน สอนทุกคนเท่ากัน ซึ่งต่อให้คนภายนอกจะมองว่าทีมบี-ริต้ามีใครเป็นลูกรัก แต่เจนนี่ก็เลือกที่จะไม่พูดถึงเรื่องที่เปราะบางในทีม และเลือกที่จะทำหน้าที่ของตัวเอง

 

ทรายไม่ผิดที่จะรู้สึกว่าตัวเองทำหน้าที่ได้ดี ไม่ควรจะมาอยู่ในห้องดำ รู้สึกไม่พอใจกับทีม แต่สิ่งที่ทรายอาจจะลืมคือ คนที่อยู่ตรงหน้าคือคู่แข่ง การเอาความลับ ความเปราะบางในทีมไปเผยให้คู่แข่งรู้เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะถ้าคู่แข่งรู้ว่าทีมกำลังมีปัญหา อาจจะเอาจุดนี้มาขยี้ทีมเราให้แตกกว่าเดิมได้

 

 

โดยส่วนตัว ผมชอบวิธีการของเจนนี่ในห้องดำที่เมนเทอร์คริสจะเล่นเกมให้เธอพูดทำร้ายทีมตัวเองแค่ไหนก็ไม่ยอมพูดไม่ดี ตอนนี้เข้ามาทำหน้าที่ไฟต์ก็ต้องไฟต์ เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน เข้าใจว่าทรายคงอึดอัด อยากระบาย จะพลาดก็ตรงดันไประบายกับคู่แข่ง การระบายให้เมนเทอร์คริสฟังไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะเมนเทอร์คริสช่วยแก้ปัญหาในทีมทรายไม่ได้ เผลอๆ อาจจะทำให้รู้สึกฮึดขึ้นมาว่าตอนนี้ทีมตัวเองมีแต้มต่อและรีบกลับไปทำให้ทีมแกร่งมากกว่าเดิมด้วย

 

ในการทำงานเราจะพบเรื่องเปราะบางขององค์กร ความลับของทีม ความขัดแย้งระหว่างบุคคล และปัญหาอีกสารพัด ไม่ใช่ทุกเรื่องในองค์กรที่เราควรจะบอกคนอื่น เพราะเมื่อไรบอกออกไปความลับเหล่านี้อาจจะกลายเป็นจุดที่มาทำลายเรา หรือกลายเป็นจุดที่คู่แข่งเอามาสู้กับเราได้ ข่าวรั่วทีอาจจะไหลไปไกลและเกิดผลแบบที่เราคาดไม่ถึงได้ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีโซเชียลมีเดีย บางทีแค่การโพสต์อะไรที่เกี่ยวกับงานนิดเดียวก็สามารถเป็นประเด็นได้ เราไม่มีทางรู้เลยว่าเบื้องหลังที่เรามองไม่เห็นนั้น อาจมีคู่แข่งหรือคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรากำลังแอบดูเราอยู่โดยที่เราไม่รู้

 

เรื่องเปราะบางของทีมก็ควรให้อยู่ในทีม แก้กันอยู่ในทีม อย่าไปเล่าให้คนอื่นรู้ โดยเฉพาะคู่แข่ง

 

 

จัดการความขัดแย้งในทีม

ทรายรู้สึกไม่พอใจการตัดสินใจของเมนเทอร์ซอนย่าที่เลือกทรายเข้าห้องดำ และก็แสดงออกชัดเจนตั้งแต่อยู่ในห้องทีมว่าโกรธเมนเทอร์ และก็ไม่อยากสุงสิงกับเพื่อนร่วมทีม ในมุมหนึ่ง ไม่ผิดที่ทรายจะรู้สึกอยากโดดเดี่ยวเอาตัวเองออกจากกลุ่มแบบนั้น เพราะรู้สึกไม่โอเคกับการตัดสินใจของเมนเทอร์ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะโกรธหรือไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองเจออยู่ และทุกคนมาก็อยากชนะกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยากแพ้ สิ่งที่ทรายพูดก็เป็นความจริง เช่นเดียวกัน เราก็สามารถเข้าใจเหตุผลของเมนเทอร์ซอนย่าได้เหมือนกันว่า เพราะเชื่อว่าทรายจะแสดงความเป็นนักสู้ให้เมนเทอร์คริสเห็น และเมนเทอร์คริสก็ชื่นชมทรายอยู่แล้ว ทรายน่าจะมีสิทธิ์กลับมาได้มากกว่า ก็กลยุทธ์ของเมนเทอร์อีกแบบ แต่สิ่งที่เราเห็นคือ บรรยากาศในทีมดูอึดอัดมาก เพื่อนๆ พยายามให้กำลังใจทราย แต่ทรายดูไม่รับอะไรแล้ว หน้ายังไม่อยากมอง กลายเป็นว่าตอนหลังในทีมก็รู้สึกแตกแยกกันเอง

 

สิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนมีเหตุผลหมด เข้าใจได้หมด โดยส่วนตัวผมคิดว่าทรายก็ทำถูกในมุมที่รู้สึกไม่พอใจก็บอกเมนเทอร์ออกมา ไม่เข้าใจอะไรกันก็ต้องเคลียร์ และมันอาจจะต้องใช้เวลากว่าที่คนคนหนึ่งจะรู้สึกดีขึ้นได้ เพราะแต่ละคนก็ใช้เวลาในการปล่อยวางต่างกัน เมนเทอร์เองก็มีสิทธิ์อธิบายเหตุผล ผมคิดว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูก เมื่อรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่เข้าใจกันก็ต้องพูด เคลียร์กันให้จบ ในชีวิตการทำงานก็เหมือนกันครับ เราต้องกล้าบอกสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เรารู้สึก อย่าเก็บไว้แล้วไประเบิดเอาทีหลัง หรือเก็บไว้แล้วเอามาบั่นทอนกำลังใจตัวเอง พูดออกมา รับฟังเหตุผลอีกฝ่าย และช่วยกันดูว่าจะทำงานอย่างไรด้วยกันต่อ มีอะไรปรับปรุงบ้าง ไม่ผิดที่จะโกรธกัน แต่ถ้าจุดหมายปลายทางของเรายังเป็นที่เดียวกัน เป็นความสำเร็จร่วมกันอยู่ ก็ยังแปลว่าเรายังเป็นพวกเดียวกันอยู่ รายละเอียดอื่นๆ อาจจะเห็นไม่ตรงกันได้ ขัดแย้งกันบ้าง แต่จุดหมายยังเป็นที่เดียวกัน ก็น่าจะยังปรับความเข้าใจกันได้

 

สิ่งสำคัญคือ หลังจากเกิดความขัดแย้งแล้ว ทุกคนได้เรียนรู้อะไรบ้าง อย่าจบที่ใครผิดใครถูก แต่เริ่มต้นด้วยเราจะทำให้ทีมดีขึ้นได้อย่างไร โดยที่ทุกคนมีส่วนร่วมช่วยกันหมด ไม่ใช่หน้าที่ใครคนใดคนหนึ่ง

 

นอกบ้านศัตรูเราเยอะแล้วครับ ในบ้านเราไม่น่าจะต้องตีกันเองให้บ้านแตก ทะเลาะกันได้แต่รีบเคลียร์  

 

   

ทำเพื่อตัวเอง VS ทำเพื่อทีม

ทรายบอกว่าทุกคนมาเพื่อตัวเองทั้งนั้น — ซึ่งก็ถูก — แต่ถามว่าระหว่างทำเพื่อทีมกับทำเพื่อตัวเอง เราควรเลือกแบบไหน

 

แคมเปญในสัปดาห์นี้น่าสนใจอย่างหนึ่งครับตรงที่แข่งเป็นบุคคล แต่ถ้าตัวบุคคลชนะ เรารอดกันทั้งทีม แน่นอนว่าคนที่ทำได้ดีน้อยกว่าแต่อยู่ในทีมที่เพื่อนทำได้โดดเด่นที่สุดก็ได้รับผลพวงให้รอดตายไปด้วย ขณะเดียวกัน ก็จะมีทีมที่คนส่วนใหญ่ทำได้ดีแต่อาจจะแพ้คนคนเดียวของทีมอื่น ผลคือก็ต้องแพ้ด้วยกันหมด ในมุมนี้ แพ้ก็แพ้ด้วยกันหมด ชนะก็ชนะด้วยกันหมด เราทำดีไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่ยังส่งผลให้เพื่อนในทีมรอดไปด้วยหมด ซึ่งในชีวิตการทำงานเราก็จะเจอสถานการณ์แบบนี้แหละครับ เพราะเราทุกคนมีส่วนรับทั้งคำชมและคำติของทั้งทีม ทุกความเป็นไปของทีมมีผลต่อเราหมด เช่นเดียวกัน สิ่งที่เราทำคนเดียวก็มีผลต่อทั้งทีม เราตัดขาดกันไม่ได้

 

โดยส่วนตัวผมคิดว่า เราทำหน้าที่ของเราให้ดี ทีมก็ดีไปด้วย เรามีส่วนเชื่อมโยงกันและกันหมด เสริมซึ่งกันและกัน ช่วยกันดูหลังให้กันและกัน แต่ถ้าเราทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว เราไม่เอาใครเลย แต่ทีมไม่รอด เราก็แพ้กันทุกคน   

 

มีคำพูดหนึ่งที่ผู้ใหญ่สอนผมและผมชอบมากก็คือ “ถ้าอยากไปให้เร็ว ให้ไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปได้ไกล ให้ไปด้วยกัน” ผมคิดว่าคำพูดนี้น่าจะตอบคำถามว่าระหว่างทำเพื่อตัวเองกับทำเพื่อทีม เราควรทำเพื่ออะไร

 

อยากไปเร็ว หรืออยากไปไกล อยู่ที่เราเลือกเลยครับ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising