×

‘The Dribbling Master’ คาโอรุ มิโตมะ ลมบูรพาที่พัดถล่มพรีเมียร์ลีกเวลานี้

30.01.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • สิ่งที่มีการพูดถึงอย่างมากสำหรับมิโตมะคือเรื่องที่เขาปฏิเสธการเซ็นสัญญากับคาวาซากิ ฟรอนตาเล เพื่อที่จะขอเรียนต่อให้จบในระดับอุดมศึกษา โดยที่ ‘ตัวจบ’ ของเขากลายเป็นไวรัลที่ถูกแฟนฟุตบอลเล่ากันสนุก เพราะเป็นการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘การเลี้ยงบอล’ โดยเฉพาะ
  • มิโตมะแอบเจ้าเล่ห์นิดๆ ในเรื่องนี้ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้ระบุไว้ว่าจะต้องเขียนวิทยานิพนธ์ยาวแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้ศึกษาอะไรเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในทางตรงกันข้าม มันเป็นช่วงที่เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และมันน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราพอจะเรียกเขาว่า ‘The Dribbling Master’ หรือปรมาจารย์ด้านการเลี้ยงบอลได้
  • ที่ไบรท์ตัน สโมสรจะมีการส่งข้อมูลการเล่นต่างๆ ให้นักฟุตบอลทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งทีมงานของมิโตมะจะนำข้อมูลที่ได้รับทั้งในช่วงก่อนเกมและหลังเกมมาให้มิโตมะได้รู้ข้อมูลของตัวเอง เช่น เรื่องของตำแหน่งที่สัมผัสบอล​ (Touch Map) หรือวิดีโอการเล่นจังหวะต่างๆ

จากจังหวะโยกตัวหลอก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก่อนกระชากหนีไปดื้อๆ สู่จังหวะการเกี่ยวเอาบอลลงมาแล้วหลอก โจ โกเมซ ให้หมดสภาพด้วยการกระดกบอลหลบเบาๆ ก่อนดีดบอลด้วยเท้าขวาเข้าไปเสียบสามเหลี่ยมผ่าน อลิสสัน เบ็คเกอร์ นายทวารมือหนึ่งทีมชาติบราซิล

 

นี่เป็นอีกครั้งที่ คาโอรุ มิโตมะ โชว์มายากลลูกหนังของเขาให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกได้เห็น และมันเกิดขึ้นในการเจอกับทีมที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วคือทีมที่เพิ่งไล่ล่าคว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียวอย่างลิเวอร์พูล และส่งแชมป์เก่าตกรอบเอฟเอคัพแค่รอบที่ 4 เท่านั้น

 

สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่เอเม็กซ์สเตเดียมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นคล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2021 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มิโตมะเพิ่งจะย้ายมาสัมผัสประสบการณ์การเล่นฟุตบอลในยุโรปเป็นครั้งแรก โดยไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน ที่ซื้อตัวเขามาจากคาวาซากิ ฟรอนตาเล ตัดสินใจส่งเขาไปเก็บประสบการณ์ชีวิตกับทีมยูเนียน แซงต์-ชิลลัวส์ ในลีกประเทศเบลเยียมก่อน

 

ครั้งนั้นกองหน้าจากแดนอาทิตย์อุทัยยังไม่ได้เป็นตัวจริงของทีมที่เขาถูกส่งมาด้วยซ้ำไป แต่ในเกมที่ทีมกำลังตามหลัง เซอแรง ยูเนียน แซงต์-ชิลลัวส์ ต้องการคนที่จะสามารถลงสนามไปเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ทีมได้ และที่ม้านั่งสำรองเขามีนักเตะญี่ปุ่นที่ดูนิ่งเงียบเขินอายอยู่คนหนึ่ง

 

มิโตมะถูกส่งลงสนามไปในช่วงครึ่งหลังของเกมดังกล่าว และสามารถพลิกสถานการณ์พาทีมกลับมาเอาชนะได้ 4-2 โดยที่เกมนั้นเขาทำแฮตทริกได้ด้วย และนั่นคือจุดเริ่มต้นสู่การเป็นตัวหลักในทีม ก่อนที่มันจะนำเขากลับมาสู่ไบรท์ตันอีกครั้งในฤดูกาลนี้

 

ประสบการณ์ในการเล่นที่เบลเยียมช่วยในการปรับตัวของเขาได้มาก

 

“มันเป็นโชว์ของ คาโอรุ มิโตมะ เลย” คริสเตียน เบอร์เจสส์ ปราการหลังชาวอังกฤษเพื่อนร่วมทีมของเขาในตอนนั้นกล่าว “เขาลงไปแล้วก็ทำลายเกมรับของพวกนั้นพังพาบ”

 

ความจริงเบอร์เจสส์พอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าเวลาของมิโตมะจะมาถึง จากการได้เห็นเขาลงฝึกซ้อมในครั้งแรก

 

“ผมจำการซ้อมมื้อแรกของเขาได้” เบอร์เจสส์เล่าต่อ “เขาเร็วเหมือนสายฟ้า สเต็ปเท้าก้าวแรกๆ ของเขาเร็วมากจนเล่นงาน โยนาส เบเกอร์ เพื่อนของผมยับ ดีนะที่ผมอยู่ทีมเดียวกับเขา วันนั้นเล่นโยนาสจนเพื่อนอีกคน แคสเปอร์ นีลเซน ถึงกับหัวเราะลั่น เขาเลี้ยงผ่าน 3 คนได้แบบสบายๆ

 

“แต่โยนาสไม่ใช่คนที่จะไปปั่นหัวเขาได้แบบนั้น เขาก็หันมาบอกพวกเราว่าเดี๋ยวดูนะ แล้วพอคาโอรุจะเลี้ยงผ่านเขาอีก เขาก็สอยคาโอรุจนออกไปนอกสนาม ส่วนพวกเราหัวเราะลั่นกับวิธีของโยนาส แต่นั่นแหละคือทางเดียวที่จะหยุดเขาได้ โยนาสอาจจะไม่ใช่กองหลังที่เร็วที่สุด แต่เอาจริงใครก็ตามไปเจอกับคาโอรุก็ตามเขาไม่ทันทั้งนั้น”

 

จากความทรงจำแรกของเบอร์เจสส์ที่มีต่อคาโอรุ เขาได้รู้ว่านี่คือนักเตะที่มีเทคนิคการเล่นที่ดีมาก และที่สำคัญคือยังมีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง และสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างคือความเยือกในเวลาที่อยู่กับบอล ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ

 

แน่นอนว่าสิ่งที่มีการพูดถึงอย่างมากสำหรับมิโตมะคือเรื่องที่เขาปฏิเสธการเซ็นสัญญากับคาวาซากิ ฟรอนตาเล เพื่อที่จะขอเรียนต่อให้จบในระดับอุดมศึกษา โดยที่ ‘ตัวจบ’ ของเขากลายเป็นไวรัลที่ถูกแฟนฟุตบอลเล่ากันสนุก เพราะเป็นการทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ‘การเลี้ยงบอล’ โดยเฉพาะ

 

ในขณะที่เจ้าตัวไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้หรือปั่นให้มันยิ่งใหญ่อะไรมากนัก 

 

“ผมแค่รู้สึกว่าร่างกายของผมยังไม่พร้อม และผมก็ไม่น่าจะแทรกเข้าทีมชุดแรกได้ทันทีด้วย” มิโตมะบอก “ผมรู้สึกว่าก้าวเดินที่ดีที่สุดคือการได้มีโอกาสลงเล่นมากขึ้นและทำให้ดีขึ้น” และนั่นคือเหตุผลที่เขาเลือกที่จะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซึคุบะ

 

เลื้อยมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ทีมมหาวิทยาลัยซึคุบะ

 

ส่วนวิทยานิพนธ์ก้องโลกลูกหนังนั้นมันก็มาจากความคิดง่ายๆ “มันเป็นหัวข้อที่ง่ายที่สุดสำหรับผม เพราะผมรักการเล่นฟุตบอลและการเลี้ยงบอลก็เป็นสิ่งที่ผมชอบทำ”

 

มิโตมะแอบเจ้าเล่ห์นิดๆ ในเรื่องนี้ เพราะมหาวิทยาลัยไม่ได้มีการระบุเอาไว้ว่าจะต้องเขียนวิทยานิพนธ์ยาวแค่ไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ได้ศึกษาอะไรเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในทางตรงกันข้าม มันเป็นช่วงที่เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง และมันน่าจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราพอจะเรียกเขาว่า ‘The Dribbling Master’ หรือปรมาจารย์ด้านการเลี้ยงบอลได้

 

“ผมเริ่มวิเคราะห์เพื่อนร่วมทีมทั้งในคนที่เลี้ยงบอลได้ดีและคนที่เลี้ยงบอลได้ไม่ดี แล้วหาเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นแบบนั้น”

 

วิธีวิจัยของเขาคือการให้เพื่อนติดกล้องเอาไว้บนศีรษะ เพื่อจะดูว่าในจังหวะนั้นเพื่อนมองไปทางไหน และดูปฏิกิริยาของคู่แข่งว่ามองมาแบบไหน

 

“ผมได้รู้ว่าคนที่เลี้ยงเก่งเขาจะไม่มองลูกบอล พวกเขาจะมองไปข้างหน้า เล่นบอลได้โดยไม่ต้องมองลงมาที่เท้า ตรงนี้แหละคือความแตกต่าง”

 

ส่วนตัวเขาเอง? “ผมเป็นคนที่เลี้ยงบอลเก่งอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไร” คาโอรุผู้ถ่อมตนตอบ

 

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือ การที่เขากลายเป็นลมพายุที่พัดขึ้นฝั่งในเมืองทางตอนใต้ที่มีชายทะเลอันสวยงามของอังกฤษ 

 

ในตอนแรกมิโตมะเหมือนสายลมที่อ่อนโยน เขาเริ่มต้นจากการเป็นตัวสำรองถูกเปลี่ยนลงมาแทน เลอันโดร ทรอสซาร์ด ในเกมที่ไบรท์ตันพบกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด วันที่ 13 สิงหาคม โดยที่ยังไม่สามารถที่จะเบียดชิงตำแหน่งตัวจริงได้

 

จนกระทั่งทุกอย่างมาเปลี่ยนไปในวันที่ไบรท์ตัน ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของ โรแบร์โต เด แซร์บี คุมทัพลงสนามรับมือเชลซี ที่มี เกรแฮม พอตเตอร์ อดีตเจ้านายเก่า ย้ายไปคุมทีมในช่วงปลายเดือนตุลาคม 

 

เกมนั้นเขาได้โอกาสในการลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก และมันกลายเป็นเกมที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งที่ 2 ของมิโตมะเลยทีเดียว

 

“เกมกับเชลซีเป็นเกมสำคัญของผม” มิโตมะบอก “และผมไม่อยากจะยกตำแหน่งของผมให้ใครอีก”

 

และมันก็เป็นไปตามคำพูดของเขาจริงๆ เมื่อสตาร์ชาวญี่ปุ่นค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมไบรท์ตันและแสดงมายากลของเขาให้แฟนๆ ได้เห็นหลายต่อหลายครั้ง (รวมถึงกับทีมชาติญี่ปุ่นในฟุตบอลโลก 2022 กับลูกเปิดมหัศจรรย์ให้ อาโอะ ทานากะ เพื่อนรัก ทำประตูในเกมกับทีมชาติสเปน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่ดีที่สุดของฟุตบอลโลกครั้งนี้)

 

ลูกเปิดมหัศจรรย์ในฟุตบอลโลก 2022

 

หนึ่งในนั้นคือลูกที่เขาลากตัดจากซ้ายเข้ามากลางประตูแล้วหลอก คอเนอร์ โคดี กองหลังทีมเอฟเวอร์ตัน จนหมดสภาพ แล้วส่งบอลผ่าน จอร์แดน พิกฟอร์ด เข้าไปตุงตาข่าย ซึ่งเป็นประตูที่หลายคนบอกว่า “นี่มันเหมือน ติตี อองรี (ตำนานกองหน้าอาร์เซนอล) เลย”

 

มิโตมะอธิบายจังหวะนี้ของเขาในเวลาต่อมาผ่านล่าม (เพราะยังสปีกอิงลิชไม่คล่องนัก นี่ถ้าฟังไทยได้จะแนะนำรายการ KND ให้!) ว่า “พอดีผมเห็นช่องผมก็เลยจะลากเข้าไปด้วยการแตะจังหวะแรก แล้วแต่งต่อในจังหวะที่ 2 แล้วมันก็เข้าทางให้ผมยิงพอดี

 

“มันเป็นสัญชาตญาณ ไม่ใช่ว่าผมคิดมาก่อน”

 

ฟังดูแล้วแอบน่าหมั่นไส้เล็กๆ แต่ความจริงมิโตมะไม่ได้พูดอะไรผิด เพราะเขาเป็นคนที่เก่งมาแต่เด็กแล้ว เพียงแต่ในหลังฉากแล้วเขามีการศึกษาการเล่นของตัวเองมาโดยตลอด

 

ที่ไบรท์ตัน สโมสรจะมีการส่งข้อมูลการเล่นต่างๆ ให้นักฟุตบอลทุกคนอยู่แล้ว ซึ่งทีมงานของมิโตมะจะนำข้อมูลที่ได้รับทั้งในช่วงก่อนเกมและหลังเกมมาให้มิโตมะได้รู้ข้อมูลของตัวเอง เช่น เรื่องของตำแหน่งที่สัมผัสบอล​ (Touch Map) หรือวิดีโอการเล่นจังหวะต่างๆ

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาสามารถมองการเล่นของตัวเองออกว่าการเคลื่อนที่ของเขาเป็นอย่างไร ตัดสินใจผิดหรือถูกในจังหวะการเล่น รวมถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของคู่แข่งที่เขาจะต้องเจอ

 

การทำการบ้านอย่างหนักเหล่านี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในดาวเด่นของพรีเมียร์ลีกเวลานี้ และกลายเป็นความหวังใหม่ ไม่ใช่เฉพาะของชาวญี่ปุ่น แต่เป็นความหวังของวงการฟุตบอลเอเชียที่พร้อมจะเขย่าโลกลูกหนังร่วมกับ ซนฮึงมิน

 

โดยที่ประตูเมื่อคืนนี้กับลิเวอร์พูลเป็นเหมือนการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

 

“คนนิจิวะ” ผมชื่อ คาโอรุ มิโตมะ แบ็กขวาทุกทีมโปรดระวังผมให้ดี!

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising