หลังจากธุรกิจลุ่มๆ ดอนๆ มาหลายปี ในที่สุด ‘The Coffee Club’ ที่แม้จะมีชื่อเป็นร้านกาแฟ แต่จริงๆ กลับวางตัวเองเป็น ‘ร้านอาหาร’ ก็สามารถพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปีจนได้
กำไรที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ ทั้งการขยายฐานลูกค้าสัญชาติไทยแทนการพึ่งพาชาวต่างชาติเป็นหลัก การลดจำนวนเมนูลงครึ่งหนึ่ง (จาก 80 เมนูเหลือ 40 เมนู) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าโดยตรง รวมถึงการขยายสาขาในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง
นงชนก สถานานนท์ ผู้จัดการทั่วไป เดอะ คอฟฟี่ คลับ เผยว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการเติบโตอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อันเป็นผลมาจากการนำกลยุทธ์ Upside Down มาใช้ โดยชวนลูกค้าให้มาลองรับประทานสินค้าก่อนจะสร้างการรับรู้ในแบรนด์ ทำให้เกิดการบอกต่อและกลับมาใช้บริการซ้ำ พร้อมเสริมความภักดีด้วยโปรแกรมสมาชิก (Subscription) ที่ให้ดื่มกาแฟพรีเมียม 10 แก้วใน 1 เดือน ในราคาเฉลี่ยเพียงแก้วละ 59 บาท
ขณะเดียวกันก็ปล่อยเมนูใหม่ๆ เข้ามาสร้างความตื่นเต้น โดยเน้นจุดเด่นที่กาแฟและเมนูอาหารเช้าที่ได้รับการตอบรับดีอยู่แล้ว ควบคู่ไปกับการเปิดสาขาใหม่ที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่พักอาศัย ย่านออฟฟิศ และแหล่งท่องเที่ยว โดยที่ผ่านมาได้มีการเปิดสาขาไปแล้ว 5 สาขาประกอบด้วย สาขาโบ๊ทลากูน, สาขาโอลด์ทาวน์, สาขาพาร์ค สีลม, สาขาสเตย์บริดจ์ ทองหล่อ และสาขาเดอะ ปาร์ค ซึ่งสามารถทำกำไรตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดดำเนินการ โดยปัจจุบันมีสาขารวมกว่า 40 สาขา แบ่งเป็น 39 สาขาในประเทศไทย และ 1 สาขาในต่างประเทศ
สำหรับทิศทางในปี 2567 นี้ The Coffee Club จะยังคงเดินหน้าพัฒนาคอนเซปต์ ‘Neighborhood Café’ โดยใช้กลยุทธ์ 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
- มุ่งเน้นรสชาติและคุณภาพของอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งเมนูเดิมและเมนูใหม่
- เข้าถึงลูกค้าคนไทยมากขึ้นด้วยลอยัลตี้โปรแกรม โดยในปีที่ผ่านมาการทำลอยัลตี้โปรแกรมดังกล่าวช่วยเพิ่มจำนวนสมาชิกในระบบเป็นจำนวน 170,000 ราย และคาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถเพิ่มยอดสมาชิกในปี 2567 ได้รวมทั้งสิ้น 250,000 ราย
- เพิ่มการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดียแทนการจ่ายค่าโฆษณา ด้วยแคมเปญที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคผ่านเมนูกาแฟและอาหารเช้าที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน
- จับมือกับพาร์ตเนอร์ในการขยายฐานลูกค้าใหม่ เช่น แบรนด์มือถือ แบรนด์เครือข่ายสื่อสาร หรือบัตรเครดิต
- ขยายสาขาแบบเชิงรุก โดยเป้าหมายปีนี้ The Coffee Club ตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มอีก 5 แห่ง แบ่งเป็นสาขาไซส์เล็กขนาดประมาณ 70-100 ตารางเมตร เพื่อเข้าถึงคนไทยมากขึ้น จำนวน 4 สาขาในเมืองหลวง และอีก 1 สาขาใหญ่ตามพื้นที่ 180-200 ตารางเมตรในต่างจังหวัดหรือพื้นที่ศักยภาพในกรุงเทพฯ
“เราต้องการปรับสัดส่วนลูกค้าจากเดิมที่เน้นต่างชาติ 70% คนไทย 30% มาเป็นลูกค้าต่างชาติ 55% และคนไทย 45% ภายในอีก 5 ปี” นงชนกกล่าว
ด้วยแผนธุรกิจที่ชัดเจนและกลยุทธ์ที่ปรับให้เข้ากับบริบทตลาดมากขึ้นนี้ ทำให้ The Coffee Club มีความพร้อมที่จะเติบโตไปพร้อมกับการขยายฐานลูกค้าในประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาลูกค้าต่างชาติเอาไว้ แม้จะผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายมากว่า 5 ปี แต่ผลประกอบการที่สามารถกลับมาทำกำไรเป็นบวกได้ในปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์อย่างรวดเร็วของ The Coffee Club
อย่างไรก็ตาม ในอนาคต The Coffee Club จะยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาดร้านกาแฟจากแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ไปจนถึงต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ผู้บริหารจะต้องจับตาและปรับกลยุทธ์ให้ทันต่อสถานการณ์อยู่เสมอ มิเช่นนั้นอาจส่งผลให้ธุรกิจสะดุดได้ในระยะยาว
แต่จากผลงานที่ผ่านมา เชื่อได้ว่า The Coffee Club น่าจะมีศักยภาพมากพอที่จะก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ ไปได้ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพและรสชาติของเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงแนวคิดการทำการตลาดแบบเชิงรุกบนพื้นฐานของความเข้าใจผู้บริโภคจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยังคงความโดดเด่นในใจลูกค้า และเติบโตได้อย่างแข็งแรงท่ามกลางสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป