The Bamboo Bar (เดอะแบมบูบาร์) ค็อกเทลและแจ๊สบาร์ที่มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ และประเทศไทย ทั้งยังเป็นที่รู้จักอย่างยาวนานในฐานะสถานที่สำหรับคนรักแจ๊ส บาร์แห่งนี้ยังได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 9 ของ Asia’s 50 Best Bars ปี 2018 อีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1953 The Bamboo Bar แจ้งเกิดในฐานะบาร์แจ๊ส และยังคงสืบทอดตำนานดนตรีแจ๊สตั้งแต่เปิดวันแรกจนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มต้นจากห้องเล็กๆ ใน Authors’ Wing อาคารประวัติศาสตร์ที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่า เป็นโบราณสถานอายุเก่าแก่ถึง 142 ปี ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่เสิร์ฟชุดน้ำชายามบ่ายในชื่อ Authors’ Lounge
The Vibe
The Bamboo Bar เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายด้วยคำบอกเล่าปากต่อปากของบรรดานักเดินทางและนักธุรกิจทั่วโลกที่แวะเวียนมากรุงเทพฯ รวมถึงเหล่าผู้รักเสียงดนตรี ดนตรีแจ๊สที่ติดตามการแสดงสด จนกระทั่งพื้นที่เดิมไม่เพียงพอรองรับเหล่านักดื่มค็อกเทลและผู้ชื่นชอบแจ๊สอีกต่อไป จึงได้ย้ายมาอยู่บริเวณ River Wing เมื่อปี 2014 ตกแต่งด้วยไม้ไผ่เป็นองค์ประกอบหลัก และโดดเด่นด้วยพัดลมเพดานที่สานด้วยหวาย ให้ลุคโคโลเนียลเก๋ไก๋ไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์และชุดโต๊ะเก้าอี้ที่จัดวางทั่วบริเวณบาร์ ทั้งด้านในและด้านนอก
ผู้อยู่เบื้องหลังเมนูเครื่องดื่ม บรรยากาศ และการบริการอันน่าประทับใจ คือ เจมี ไรนด์ (Jamie Rhind) บาร์เมเนเจอร์ผู้เคยมีประสบการณ์ร่วมงานกับ The Artisan Bar หนึ่งในบาร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในลอนดอน และทีมบาร์เทนเดอร์มืออาชีพที่ผ่านการประกวดหลายเวที และมีความเชี่ยวชาญด้านค็อกเทลในแบบเฉพาะเจาะจงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละคน
ก่อนหน้านี้ The Bamboo Bar มีค็อกเทลเมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากดนตรีแจ๊ส ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีมาโดยตลอด พอๆ กับคลาสสิกค็อกเทล นอกจากนั้น เจมี ไรนด์ กับ แอน-ปิ่นสุดา พงษ์พรม หัวหน้าบาร์เทนเดอร์ ยังร่วมกันครีเอตค็อกเทลเมนูภายใต้คอนเซปต์ ‘Compass’ ที่นำเสนอความเป็นไทยผ่านทิศทั้งห้า ได้แก่ เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออก กลาง ใต้ และนำวัตถุดิบหลักจากทั้ง 5 ภูมิภาค มาเป็นส่วนผสมในค็อกเทล ซึ่งนำเสนอประเทศไทยผ่าน 5 ภูมิภาคหลัก กับค็อกเทลและม็อกเทล 5 หมวดหมู่ ที่มีให้เลือกจิบและชิมถึง 15 แก้ว
The Drinks
เริ่มต้นกันที่ภาคเหนือ ทุกคนน่าจะรู้จักอาหารขึ้นชื่ออย่างแกงฮังเล แล้วจะเป็นอย่างไร ถ้าหากนำแกงฮังเลมาเปลี่ยนสถานะให้เป็นเครื่องดื่ม อย่าตกใจไปว่ามันคือแกงผสมเหล้าแล้วใส่น้ำแข็ง เพราะเจมีกับแอนถอดรหัสรสชาติแกงฮังเลให้กลายเป็นค็อกเทลน่าดื่มในชื่อ Hang Lay (420 บาท) ด้วยส่วนผสมหลักของเหล้ารัมสัญชาติไทย พร้อมด้วยสมุนไพรที่เป็นเบสเครื่องแกงฮังเลอย่างขมิ้น ขิง มะขาม ตามด้วยรสเปรี้ยวของมะนาว ก็ทำให้เครื่องดื่มแก้วนี้ดูมีอะไรขึ้นทันตา นอกจากถูกปากทั้งชาวไทยและต่างชาติ ก็ยังได้เล่าเรื่องราวอาหารไปในตัวอีกด้วย
ต่อกันที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แน่นอนว่า ส้มตำคือตัวแทนจากภูมิภาคนี้ Get The Mortar (420 บาท) ค็อกเทลที่ได้ไอเดียมาจากส้มตำ เบสด้วยวอดก้า Barrelhouse 53 ซึ่งกลั่นพิเศษสูตรเฉพาะของ The Bamboo Bar ผสมน้ำมะเขือเทศ น้ำมะนาว น้ำตาลมะพร้าว และพริก แต่งแก้วด้วยมะละกออบแห้ง อยากรู้ว่าส้มตำดื่มได้เป็นอย่างไร ต้องมาลองให้รู้
ภาคตะวันออกของไทยติดกับกัมพูชา และการเดินทางระหว่างพรมแดนของทั้งสองประเทศนี้ได้กลายมาเป็นชื่อเรียกค็อกเทลก้านยาวแลดูชิค Border Crossing (420 บาท) วอดก้าสูตรพิเศษของบาร์ ผสมน้ำฝรั่ง ใบมะกรูด และใบแมงลัก พร้อมไม้หนีบกลัดกระดาษแผ่นเล็กที่เลียนแบบตั๋วรถไฟเส้นทางกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ ดื่มเสร็จเมื่อไรก็รีบขึ้นรถไฟกันได้เลย
สำหรับภาคกลาง Jack of All Trades (420 บาท) ได้แรงบันดาลใจมากจากย่านสีลม ซึ่งเป็นแหล่งธุรกิจการค้าอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ จึงนำมาสื่อด้วยการใช้แผ่นทองคำเปลว อันหมายถึงการค้าขาย แปะที่ก้อนน้ำแข็งใจกลางแก้วที่ปริ่มด้วยเหล้าเตกีลา เร้ดเวอร์มุธ พลัม และโรสแมรี
แต่ถ้าอยากมานั่งชิลที่ The Bamboo Bar แบบไร้แอลกอฮอล์ ก็สามารถสั่งม็อกเทลที่มีถึง 5 ตัว ในเมนู Compass นี้ได้ 5 Spices (250 บาท) – 3241 คือดริงก์ใสไร้แอลฯ ที่เราอยากแนะนำเป็นพิเศษ ด้วยความหอมเครื่องเทศและรสชาติที่มีมิติไม่เหมือนม็อกเทลทั่วไป ที่เป็นเหมือนการผสมน้ำผลไม้หลายชนิด อีกทั้งเสิร์ฟมาในถ้วยและกาน้ำชาที่ชวนให้นึกถึงย่านเยาวราชที่มีกลิ่นอายของยาจีนลอยเวียนวนในอากาศ
เมื่อพูดถึงภาคใต้ หลายคนคงนึกถึงทะเล ชายหาด ซีฟู้ด และลมเบาๆ กับแสงแดด ลองสั่งค็อกเทลแก้วนี้ก็น่าจะได้ฟีลริมทะเลเหมือนกัน Cashew Down South (420 บาท) โดดเด่นตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวเหล้า ด้วยแก้วรูปทรงนกแก้วสีเหลืองสดใส ที่เข้ากับเหล้ารัมจากภูเก็ต มะม่วงหิมพานต์ ใบโหระพา สับปะรด และแตงกวา ดื่มก็ง่าย แถมยังถ่ายรูปสวย
ส่วนจะมีเซตเมนูอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติมจากสองบาร์เทนเดอร์มือฉมัง เราแนะให้ไปเคล้าดนตรีแจ๊ส จิบค็อกเทลรสดีกับบริการอันดับต้นๆ แบบการันตีด้วยความเป็นโอเรียนเต็ลกันได้
What You Should Know:
- นอกจาก Compass Menu ก็ยังมีคลาสสิกค็อกเทลและดริงก์อื่นๆ ตามแต่ความต้องการที่สามารถสั่งได้
- The Bamboo Bar มีแจ๊สสดทุกคืนตั้งแต่ 21.00 น. เป็นต้นไป
- ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีของกินเล่น เพราะทุกโต๊ะจะได้รับกับแกล้มเคล้าเครื่องดื่มแก้วโปรด กระเจี๊ยบอบแห้งกรุบกรอบกับมะม่วงหิมพานต์คั่วสมุนไพร แต่ถ้าอยากสั่งเพิ่มเติม สอบถามได้จากพนักงาน
The Bamboo Bar
Open: เปิดบริการทุกวัน เวลา 17.00-01.00 น. (วันศุกร์-เสาร์ เปิดถึง 02.00 น.)
Address: Mandarin Oriental Bangkok ซอยโอเรียนเต็ล อเวนิว เจริญกรุง 40 เขตบางรัก กรุงเทพฯ
Budget: 350-2,000 บาท
Contact: 0 2659 9000 ต่อ 7690-1
Website: www.mandarinoriental.com/bangkok/chao-phraya-river/fine-dining/bars/the-bamboo-bar
Map:
ภาพ: ภิญโญ เกียรติโอภาส, Courtesy of Mandarin Oriental Bangkok
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล