วันนี้ (1 มิถุนายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เดินสายพบหน่วยงานราชการและหน่วยงานภาคเอกชนว่าการไปพบหน่วยงานภาคเอกชนสามารถทำได้ แต่ถ้าเป็นส่วนราชการต้องดูว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะว่าวันนี้รัฐบาลยังอยู่ ข้าราชการเองก็อาจจะอึดอัด อย่างที่พิธาบอกว่าข้าราชการขอมาพบเองมันก็ไม่ใช่ เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สอบถามกับข้าราชการก็ไม่มีใครไปขอพบพิธาเลย
เมื่อไปดูในข้อเท็จจริงทางพรรคก้าวไกลเองต่างหากเป็นคนไปขอพบกับหน่วยงานราชการ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาลต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น คือสิ่งที่พูดสิ่งที่ทำมันต่างกัน ตนไม่อยากไปก้าวล่วง แต่ว่าบางครั้งเราก็ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะพี่น้องประชาชนจับตาดูอยู่ ท่านเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี การพูดหรือการกระทำของท่านมันจะหมายถึงตัวตนของท่านด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้ตนคิดว่าตัวท่านเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีก็ต้องปรับตัว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพิธาพูดบิดเบือนในเรื่องดังกล่าวหรือไม่ ธนกรกล่าวว่า “ไม่ใช่บิดเบือน แต่ให้ข้อมูลมันไม่ตรงกัน ผมว่าดู พล.อ. ประยุทธ์ เป็นหลักว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีได้ท่านเป็นยังไง ซึ่งท่านก็ให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว”
ธนกรกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่บอกว่าหน่วยงานราชการเชิญมาเองแต่กลับกลายเป็นว่าท่านเป็นคนเชิญหน่วยงานเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ว่าพูดให้ตรงไปตรงมา ตนคิดว่าประชาชนชอบคนตรงไปตรงมา ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไร และต้องดูความเหมาะสม ตนเอาใจช่วยอยู่แล้ว อยากให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ลองบริหารประเทศดูว่านโยบายต่างๆ ของท่านที่จะทำใน 100 วันมันทำได้หรือไม่อย่างไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าการเดินสายไปพบหน่วยงานต่างๆ เป็นการสร้างมวลชนขึ้นมากดดันหรือสร้างกระแสหรือไม่ ธนกรกล่าวว่า ตรงนี้ตนไม่อยากไปมองแบบนั้น แต่หลายฝ่ายมองแบบนั้น แต่ว่าไม่อยากให้ไปเคลื่อนไหวกดดัน ไม่ว่าจะเป็นมวลชนหรือโซเชียลมีเดีย เพราะในวันนี้ในโซเชียลมีเดียก็มีการเคลื่อนไหวกดดันคนเห็นต่างแล้ว
“มวลชนที่เป็นเครือข่ายพรรคก้าวไกลก็เริ่มออกมาแล้วว่าต้องแสดงพลังถ้าไม่ได้ดั่งใจ ผมคิดว่าตรงนี้บ้านเมืองจะไปสู่ความขัดแย้งอีก เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น วันนี้สิ่งที่ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ทำมามันมาไกลมากแล้ว ทุกวันนี้เรามีความสงบ เศรษฐกิจและหลายอย่างก็ดีขึ้น สื่อมวลชนเองก็ใช้ชีวิตตามปกติ เดี๋ยวพอมีม็อบอะไรต่างๆ ขึ้นมา มันจะไปไกลกว่านั้นอีก ผมคิดว่ามันไม่ควร” ธนกรกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ระบุว่าหากพิธาถูกวินิจฉัยว่าพ้นสภาพการเป็นหัวหน้าพรรค จะส่งผลกระทบต่อการรับรอง ส.ส. ของพรรคก้าวไกล และอาจทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้น ธนกรกล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย สิ่งที่วิษณุพูดเข้าใจว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ก็ให้ความเห็นว่าถ้าคำร้องเป็นแบบนี้ การวินิจฉัยก็จะกระทบแบบนี้ สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย ซึ่งตนคงไม่ไปก้าวล่วง เพราะกลไกต่างๆ ก็เดินหน้าไปแล้ว วันนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องพิจารณาไต่สวน หลังจากนั้นก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญว่าคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องยึดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอยู่แล้ว
“ตรงนี้เป็นเรื่องของอนาคต ไม่ได้ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่วิษณุก็ถือว่าเป็นกูรูด้านกฎหมาย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญ แม้จะเป็นความเห็นของท่านก็ต้องรับฟังไว้” ธนกรกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการวิเคราะห์กันภายในหรือไม่ ว่ารัฐบาลก้าวไกลจะเกิดขึ้นก่อนและโดนสอยทีหลัง หรือจะไม่ได้เป็นรัฐบาลเลย จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการจับขั้วรัฐบาล ธนกรกล่าวว่า เราไม่วิเคราะห์ แต่เราเอาใจช่วย เพราะในระบอบประชาธิปไตยผู้ที่ได้ลำดับ 1 จะต้องเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล เวลาที่เหลืออยู่ พล.อ. ประยุทธ์ ก็ให้เราทำงานเต็มที่จนนาทีสุดท้าย จะเห็นได้ว่าท่านจะไม่ค่อยพูดถึงประเด็นทางการเมือง เพราะไม่อยากไปก้าวล่วง หรือพูดแล้วจะเป็นประเด็น ฉะนั้นต้องปล่อยให้พรรคก้าวไกลเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งตนดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอาจจะเจออุปสรรคหลายๆ อย่าง แต่ก็เอาใจช่วย