เมอร์เซอร์คาดการณ์ว่า อัตราการขึ้นค่าตอบแทน หรือ เงินเดือน ในปี 2566 ของไทย จะปรับเพิ่ม 4.5% ซึ่งอัตราการเพิ่มนี้ใกล้เคียงกับอัตราที่เกิดขึ้นจริงในปีนี้ ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและสถานการณ์โดยรวมที่กลับเข้าสู่ระดับก่อนหน้าวิกฤตโรคระบาด
ตัวเลขดังกล่าวมาจากการสำรวจ Total Remuneration Surveys (TRS) ประจำปี 2565 โดยได้สำรวจกับองค์กร 636 แห่ง ใน 15 อุตสาหกรรมในประเทศไทย ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน 2565
ทั้งนี้ อัตราค่ากลางของค่าตอบแทนที่ปรับสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชีย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตของค่าตอบแทนในตลาดแรงงานในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศพัฒนาแล้ว โดยมีการประมาณการอัตราค่าตอบแทนที่ปรับตัวสูงถึงระดับ 7.1% ในประเทศเวียดนาม เทียบกับ 2.2% ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งต่ำที่สุดในภูมิภาค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ค่าจ้างไม่ใช่คำตอบเดียว! ปรากฏการณ์ ‘การลาออกครั้งใหญ่’ จะเกิดต่อไปในเอเชียแปซิฟิก หากงานที่ทำอยู่ไม่เติมเต็มและขาดจริยธรรม
- ที่ทำงานเก่าที่โปรด! พฤติกรรม ‘พนักงานบูมเมอแรง’ ที่ลาออกและกลับมาใหม่อีกครั้ง และรับเงินเดือนแบบยิ่งใหญ่กว่าเดิม
- ทำงานจนตาย เดี๋ยวไม่ได้ใช้เงิน! รับเงินเดือนน้อยลง แต่ได้เวลาชีวิตมากขึ้น เทรนด์ใหม่มาแรงในหมู่พนักงานทั่วโลก
เมลลา ดาราแคน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเมอร์เซอร์ ประจําประเทศไทย กล่าวว่า “แม้จะมีความคาดหวังต่อแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่นายจ้างส่วนใหญ่ยังมีความระมัดระวังในการวางแผนรับมือผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว ดังนั้นแนวโน้มในการปรับเพิ่มอัตราค่าตอบแทนปีหน้าอาจจะยังใกล้เคียงกับปีนี้ อย่างไรก็ตาม เมอร์เซอร์แนะนำให้ภาคธุรกิจพิจารณาและทบทวนกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนของพนักงานในองค์กร เนื่องจากธุรกิจอาจพบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของตลาดแรงงานในอนาคต รวมถึงอาจประสบความท้าทายในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีทักษะความสามารถไว้”
การสำรวจพบว่า ไม่มีอุตสาหกรรมใดปรับลดอัตราการขึ้นเงินเดือน โดยคาดว่าอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์ จะมีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงสุดอยู่ที่ 4.9, 4.8 และ 4.8% ตามลำดับ
ส่วนในแง่ของค่าตอบแทนผันแปร คาดการณ์การจ่ายโบนัสที่ 1.3-2.5 เดือน โดยการจ่ายโบนัสสูงสุดอยู่ที่ 2.4 เดือนจากอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์
มากกว่าครึ่ง (53%) ของบริษัทผู้ตอบแบบสํารวจในประเทศไทย กล่าวว่า จะไม่มีนโยบายในการปรับเปลี่ยนกรอบอัตรากำลังพนักงานปี 2566 และ 1 ใน 5 หรือราว 22% ของนายจ้างที่ร่วมการสำรวจ กล่าวว่า จะเพิ่มจำนวนพนักงาน ในขณะที่มีเพียง 4% ของนายจ้าง ระบุว่า จะลดจำนวนพนักงานลง
ขณะเดียวกันอัตราการลาออกของพนักงานในปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับก่อนหน้าวิกฤตโรคระบาด ซึ่งมีอัตราสูงกว่า 11.9% เมื่อเทียบกับ 9.4% ในปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจต่างๆ โดยที่อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคและอุตสาหกรรมยาและเครื่องมือแพทย์คาดว่าจะมีอัตราการลาออกของพนักงานสูงที่สุด