×

สื่อนอกวิเคราะห์การชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นของ ‘ก้าวไกล’ อาจไม่ช่วยให้พรรคจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างราบรื่น

15.05.2023
  • LOADING...
สื่อนอกวิเคราะห์

Bloomberg รายงานว่า ผลการเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยซึ่งมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่พรรคการเมืองฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถือเป็นการท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดต่อสถาบันฯ​ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มนิยมทหารและสถาบันฯ (Royalist) นับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจในการทำรัฐประหารเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว

 

รายงานข่าวระบุว่า ขณะที่การนับคะแนนโหวตไปได้แล้ว 97% ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยสามารถคว้าคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชนทั่วประเทศได้อย่างท่วมท้น ซึ่ง Bloomberg ชี้ว่า หากสองพรรคจับมือร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลก็จะมีที่นั่งมากกว่า 280 ที่นั่งจากทั้งหมด 500 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร

 

ในฐานะพรรคที่ได้เสียงโหวตมากที่สุดด้วยที่นั่ง 32 เขตจากทั้งหมด 33 เขตในกรุงเทพฯ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับการต้อนรับอย่างท่วมท้นจากบรรดากลุ่มผู้สนับสนุน ซึ่งตะโกนเรียกพิธาว่า ‘นายกฯ’ 

 

พิธากล่าวว่า จากตัวเลขที่เห็นจนถึงขณะนี้ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย และพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ แต่จนถึงขณะนี้ ทางพรรคยังไม่มีการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสม และผลการเลือกตั้งครั้งนี้ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าประชาชนต้องการอะไร และพรรคก้าวไกลจะยึดมั่นกับสิ่งที่ได้ให้คำมั่นไว้กับประชาชน 

 

Bloomberg รายงานว่า ชัยชนะของพรรคก้าวไกลนับเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากนโยบายแนวประชานิยมที่ครอบงำการเมืองไทยมาสองทศวรรษ โดยพิธาและพรรคก้าวไกลได้ให้คำมั่นว่าจะแก้ไขกฎหมายที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์จากการวิพากษ์วิจารณ์ และชัยชนะถล่มทลายของพรรคก้าวไกลในกรุงเทพฯ ยังส่งสัญญาณถึงความไม่พอใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองที่มีต่อพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ

 

อย่างไรก็ตาม การที่พรรคตัวเต็งไม่ได้รับชัยชนะโดยสิ้นเชิง ช่วงเวลาต่อจากนี้ในอีกหลายสัปดาห์ข้างหน้าจะเต็มไปด้วยความตึงเครียดไม่น้อย เพื่อดูว่าใครควรเป็นผู้นำรัฐบาลชุดต่อไป

 

มอง ‘พรรคขนาดกลาง’ มีบทบาทเพิ่ม

ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์ ประเมินว่า ทางเลือกแรกก็คือการที่พรรคก้าวไกลจับมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกดดันวุฒิสภาให้อนุมัติยอมรับนายกรัฐมนตรี ส่วนทางเลือกที่สองก็คือไม่จับมือกับพรรคเพื่อไทย โดยพรรคที่คาดว่าจะมีบทบาทไม่น้อยคือพรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย ที่คะแนนโหวตส่วนใหญ่น่าจะเป็นผลพวงจากนโยบายกัญชาเสรี 

 

กระนั้น การจัดตั้งรัฐบาลก็มีตัวแปรใหญ่อย่างวุฒิสภา โดยภายใต้รัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ในปี 2560 วุฒิสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพ 250 คน สามารถลงคะแนนร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้ง 500 คนเพื่อตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

 

ขณะที่ แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนสุดท้องของทักษิณและผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแถวหน้าของพรรคเพื่อไทยกับ เศรษฐา ทวีสิน ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกคนของพรรค กล่าวตรงกันว่า “จะให้ความสำคัญกับการพูดคุยกับพรรคการเมืองฝั่งที่สนับสนุนประชาธิปไตย”

 

นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตามองจากการเลือกตั้งครั้งนี้ก็คือแผนกลับประเทศไทยของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ในเดือนกรกฎาคมจะทำให้ความตึงเครียดกับกลุ่มชนชั้นนำภายในกองทัพรุนแรงขึ้นหรือไม่นั้นเป็นอีกหนึ่งคำถามสำคัญ โดยทักษิณต้องใช้ชีวิตอย่างอัตคัดเพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุกจากความผิดฐานคอร์รัปชันที่ตามมาหลังการรัฐประหารที่โค่นล้มรัฐบาลของทักษิณในปี 2006

 

ยิ่งไปกว่านั้น ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคก้าวไกลยังชูนโยบายที่แตกต่างจากพรรคส่วนใหญ่ โดยในขณะที่พรรคส่วนใหญ่ชูนโยบายประชานิยม แต่พรรคก้าวไกลแตกต่างออกไปในการท้าทายสถาบันทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมที่มีศูนย์กลางอยู่ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งยังเป็นพรรคหลักเพียงพรรคเดียวที่เรียกร้องให้แก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้มีอิสระมากขึ้นในการหารือเกี่ยวกับราชวงศ์

 

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นแผ่นดินไหวทางการเมือง (Political Earthquake) และผลการเลือกตั้งสะท้อนว่าคนไทยไม่ต้องการประชานิยม

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบกของไทยได้ออกมาให้คำมั่นว่า โอกาสที่ไทยจะเกิดรัฐประหารอีกครั้งเป็นศูนย์ 

 

ชี้โจทย์เศรษฐกิจ ‘งานหิน’

Bloomberg รายงานเพิ่มว่า ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของประเทศไทย จะต้องแบกรับหน้าที่ในการขับเคลื่อนให้สนับสนุนการเติบโตในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 5.06 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาที่ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน และประชาชนชาวไทยต้องดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง

 

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำคนใหม่ยังต้องเผชิญกับปัญหาสภาพแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งหมายรวมถึงปัญหาเอลนีโญที่อาจทำลายพืชผลข้าวของประเทศ ซึ่งเป็นการส่งออกที่สำคัญสำหรับไทย แถมยังต้องจับตาดูกันต่อไปว่าการเลือกตั้งจะสามารถฟื้นตลาดหุ้นที่มีผลประกอบการแย่ที่สุดของเอเชียในปีนี้ได้หรือไม่ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติถอนตัวออกไปแล้วราว 2 พันล้านดอลลาร์

 

ทั้งนี้ การเลือกตั้งทั่วไปของไทยในครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น โดยก่อนการลงคะแนนเสียงสิ้นสุดลง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าการลงคะแนนดำเนินไปอย่างเรียบร้อย ไม่มีสัญญาณความผิดปกติที่สำคัญ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีคนไทยประมาณ 52 ล้านคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง และมากกว่า 90% ของผู้ลงทะเบียนเลือกตั้งล่วงหน้าประมาณ 2.3 ล้านคนได้ออกมาใช้สิทธิเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

 

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising