โลกที่แนวโน้มการเข้าสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การวางไทยเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Hub) คือหนึ่งในหมุดหมายของภาครัฐที่ถูกปลุกขึ้นมาให้กลายเป็นวาระสำคัญของประเทศ
จากนโยบาย ‘Ignite Thailand’ ในสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่พยายามดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาในไทย โดยเฉพาะจากบริษัทบิ๊กเทคจากสหรัฐ สานต่อมาถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้ประกาศยกระดับผลักดันไทยเป็น AI Hub ของภูมิภาค เตรียมสร้างแรงงาน 2.5 แสนคน รองรับการลงทุนใน AI, EV และ Semiconductor พร้อมส่งเสริมพลังงานสะอาด เวลากว่าปีเศษที่ผ่านมา มีการพัฒนาไปแล้วแค่ไหน
ย้อนดูการทุ่มเงินเข้าลงทุนของบิ๊กเทคในไทย
หากย้อนไปในช่วงก่อนที่อดีตนายกฯ เศรษฐา ก้าวมาดำรงตำแหน่ง หนึ่งในการประกาศจากบริษัทบิ๊กเทคฝั่งตะวันตกที่สร้างความฮือฮาให้กับประเทศก็คือการเข้ามาของ Amazon Web Services (AWS) หน่วยธุรกิจคลาวด์ของ Amazon ที่ประกาศว่าจะใช้เม็ดเงิน 1.9 แสนล้านบาทสำหรับการลงทุนระยะยาวในไทย 15 ปีเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ให้กับประเทศ
นอกจากนี้ยังมีการเข้ามาของ สัตยา นาเดลลา ซีอีโอของ Microsoft ที่ให้คำมั่นว่าบริษัทของตนมีแผนจะเข้ามาสร้าง Data Center ของไทย ตามด้วย Google ที่ รูธ โพรัท หัวหน้าฝ่ายการลงทุนของเจ้าตลาดเสิร์ชเอนจินยักษ์ใหญ่ที่เดินทางขนาดใหญ่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก่อนจะประกาศเงินลงทุนในไทย 3.4 หมื่นล้านบาท
และล่าสุด TikTok ก็ตบเท้าเข้ามาเช่นกันด้วยเม็ดเงิน 3.3 แสนล้านบาท เพื่อตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ใน Data Center สำหรับการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ โดยเบื้องต้นจะตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- TikTok มาจริง! ทุ่ม 1.2 แสนล้านบาท สร้างเซิร์ฟเวอร์โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล – AI ป้อน Data Center ในไทย
- ‘ทรัมป์’ ชี้ การมาของ DeepSeek เป็นสัญญาณเตือนอุตสาหกรรม AI ของสหรัฐฯ พร้อมจี้ AI สหรัฐฯ ต้องมุ่งมั่นเพื่อชนะ
AI Hub จะไม่ได้วัดแค่เงินลงทุน แต่คือการปั้นนวัตกรรมใช้เอง?
จะเห็นได้ว่า ไทยได้รับเงินลงทุนมหาศาล แต่การจะพาประเทศไปสู่ก้าวต่อไปของการเป็น AI Hub ก็ไม่ได้ถูกกำหนดเพียงแค่เงินลงทุนอย่างเดียว ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนในมิติอื่นๆ อีกมาก
ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ViaLink และ Siametrics Consulting
ดร.ณภัทร ฉายภาพให้กับ THE STANDARD WEALTH เห็นถึงอีกมุมมองว่า การแห่เข้ามาของเหล่าบริษัทบิ๊กเทคในไทย อาจเป็นได้ว่าเป็นการมาลงทุนเพื่อเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขยายบริการต่างๆ ของบริษัท เนื่องจากความต้องการเทคโนโลยียังมีรออยู่อีกมหาศาล
การตั้งข้อสังเกตนี้ของ ดร.ณภัทร มาจากความเคลื่อนไหวในการปรับใช้ AI ในธุรกิจไทยที่ถือได้ว่า ‘กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น’ เพราะก่อนหน้าที่ AI จะกลายเป็นวาระสำคัญในระดับองค์กร มีแค่ธุรกิจในอุตสาหกรรมธนาคารและโทรคมนาคมที่ใช้ AI เท่านั้น
แต่เมื่อ AI กลายเป็นเทรนด์ใหญ่ของโลกจนทุกแทบจะธุรกิจหันมาให้ความสนใจ บริษัทในหลายอุตสาหกรรมก็มีความต้องการผนวก AI เข้าไปในวิถีการทำงาน ซึ่งยังมีองค์กรอีกจำนวนมากที่เพิ่งเริ่มศึกษาการนำ AI มาใช้งาน หมายความว่าการทำ Digital Transformation ของธุรกิจยังเหลือช่องว่างให้ทำเพิ่มได้อีกเยอะ
“ในอนาคตบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่กำลังจะกลายเป็นผู้ขาย ‘ปัญญา’ (Intelligent) ฉะนั้นหากบริษัทกลุ่มนี้เห็นว่าโมเดล AI จะฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการใช้งานก็จะมากขึ้นตามเช่นเดียวกัน นั่นจึงเป็นที่มาว่าบริษัทเหล่านี้ต้องเร่งลงทุนขยายทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการให้บริการของตน” ดร.ณภัทร กล่าว
นอกจากนี้อีกหนึ่งคำถามสำคัญคือการให้ ‘คำนิยาม AI Hub’ ระดับประเทศว่าจะวัดความสำเร็จของการเป็นศูนย์กลางด้านปัญญาประดิษฐ์อย่างไร?
จะเป็นการวัดจากมูลค่าเม็ดเงินลงทุนอย่างเดียวหรือไม่หรือจะวัดจากความสามารถในการสร้างนวัตกรรมของไทยที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศ?
ดันไทย AI Hub ต้องเร่งแก้ 2 Painpoint ‘แรงงาน-ระบบนิเวศ’
ดร.ณภัทร ระบุว่า แน่นอนว่าการที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนเป็นเรื่องที่น่ายินดี “เรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีกว่าการไม่มาลงทุนและไทยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่การที่ประเทศจะไปสู่ AI Hub ในระดับที่สร้างนวัตกรรมเองได้ ปัจจัยสำคัญระดับประเทศที่ต้องได้รับการพัฒนามากที่ปัจจัยสำคัญการสร้าง ‘คน’
“ความท้าทายของประเทศไทย ณ ขณะนี้ หากจะสร้างนวัตกรรม ไม่ใช่อยู่ที่ว่าคนไทยไม่มีคนเก่ง หากแต่จำนวนคนเก่งในประเทศไทยมีไม่เพียงพอ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ คนเก่งจำนวนน้อยจึงถูกบีบให้ต้องเลือก” ระหว่าง
- การรับงานที่ได้ค่าตอบแทนแน่นอน
- การแบกรับความเสี่ยงเพื่อพัฒนานวัตกรรมที่อาจจะล้มเหลว
แนวโน้มที่คนส่วนใหญ่จะเลือกตัวเลือกแรกก็มีมากกว่า ซึ่ง ดร.ณภัทร สรุปภาพรวมว่า ณ ปัจจุบันคนที่กล้าเสี่ยงมีจำนวนไม่พอ และการให้เงินทุนสนับสนุนให้กล้าเสี่ยงก็มีไม่พอเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ดร.ณภัทร ชวนคิดว่า ‘หรือไทยอาจจะยังไม่ต้องเร่งเป็น AI Hub ก็ได้?’ แม้ว่าการเป็นได้ก็ย่อมดีกว่า แต่เนื่องจากแรงงานไทยกำลังอยู่ในสภาวะขาดแคลนในปัจจุบันและมีแนวโน้มจะขาดแคลนมากขึ้นในอนาคต ดังนั้นโอกาสระยะสั้นที่ไทยควรคว้าไว้คือการใช้ AI เพื่อสร้างประโยชน์ในเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นวาระที่อาจจะเร่งด่วนมากกว่า
แต่หากไทยจะขยับให้ประเทศกลายเป็น AI Hub ที่ทำได้มากกว่าแค่การดึงดูดเงินลงทุนและเพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรม AI โลก นั่นอาจเป็นโจทย์ที่ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะ AI Hub ระดับโลกไม่ได้ถูกกำหนดแค่ว่าผู้คนใช้เครื่องมือ AI เป็น แต่ต้องมีบุคลากรจำนวนมากพอที่จะสามารถผลิตนวัตกรรมได้ด้วย
ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัท ไอแอพพ์เทคโนโลยี จำกัด (iApp Technology) และกรรมการสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AIEAT)
ขณะที่ทางด้าน ดร.กอบกฤตย์ บอกกับ THE STANDARD WEALTH ว่า AI คือเครื่องมือที่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับเศรษฐกิจในแทบจะทุกมิติ ดังนั้นไทยจำเป็นต้องมีแผนพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาต่างๆ ควบคู่กันไปเพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
จากการคลุกคลีในวงการ AI ของไทย ดร.กอบกฤตย์ บอกอีกว่า ว่าการจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็น AI Hub ได้มี 3 ปัจจัยหลักด้วยกัน
1. ทุนมนุษย์: ทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นหนึ่งส่วนที่สำคัญที่สุดอันดับต้นๆ ในการพาประเทศไปสู่ AI Hub แต่ในขณะเดียวกัน ปัจจัยนี้ยังคงเป็น ‘คอขวด’ ใหญ่อยู่สำหรับไทย โดย ดร.กอบกฤตย์ เล่าว่า ประชากรไทยที่มีความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลคิดเป็นเพียง 1% ของประชากร ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย เวียดนาม มีคนกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 3% ซึ่งหมายถึงไทยต้องสร้างบุคลากรเพิ่ม 3 เท่าตัวเพื่อไล่ให้ทัน
นอกจากนี้รายงาน Global AI Index ที่จัดทำโดย Tortoise Media และสำรวจ 83 ประเทศทั่วโลก เผยว่ามิติด้าน ‘คน’ ของไทยได้คะแนน 3 เต็ม 100 ถือว่าเป็นคะแนนที่น้อยมาก และหากเข้าไปดูในรายละเอียดจะพบว่าคะแนนในส่วนของนักพัฒนาได้ 5.3 บุคลากรในวิชาชีพเอไอได้ 4.3 และนักวิทยาศาสตร์เอไอได้ 0.6 แสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนและความท้าทายในการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถให้ทันกระแสโลก
2. โครงสร้างพื้นฐาน: เป็นปัจจัยที่ประเทศไทยทำได้ค่อนข้างดี จากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่ตบเท้าเข้ามาลงทุนในมูลค่าเงินที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ
3. ระบบนิเวศธุรกิจ AI: นี่เป็นอีกหนึ่งความท้าทายของไทยในการไปสู่ฝัน AI Hub เพราะประชากรกว่า 99% จากคำบอกเล่าของ ดร.กอบกฤตย์ อยู่ในสถานะ ‘ผู้ใช้งาน’ แต่สิ่งที่ขาดแคลนคือฝั่งธุรกิจหรือ ‘ผู้สร้าง’ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศจากเทคโนโลยีตัวนี้ โดยปัจจุบันไทยมีสตาร์ทอัพ AI อยู่ 130 ราย แต่ตัวเลขนี้ยังเป็นจำนวนที่น้อยไปและควรจะเพิ่มขึ้นอีก 5 เท่าตัว
“พูดง่ายๆ คือตอนนี้เรามีแต่ผู้ใช้และขาดผู้สร้าง เมื่อระบบนิเวศไม่สมดุล การจะดึงดูดหรือสร้างแรงจูงใจให้คนเก่งทำงานในประเทศไทยก็ไม่เพียงพอ และนั่นทำให้เกิดการมองหาโอกาสในต่างประเทศ ซึ่งก็กระทบกับการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในไทย” ดร.กอบกฤตย์ กล่าว
สำหรับหนึ่งแนวทางที่จะส่งเสริมความแข็งแรงของประเทศไทยเพื่อต่อยอดไปสู่ AI Hub คือการพยายามสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยคนไทยเพียงชาติเดียว แต่อาจมองถึงการดึงดูดแรงงานต่างชาติที่มีความสามารถ ให้เข้ามาทำงานได้อย่างถูกต้องในอัตราที่เพิ่มมากขึ้น
หนึ่งเป้าหมายที่ ดร.กอบกฤตย์ เห็นว่ามีความจำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นคือ ‘ความเป็นอธิปไตย AI ของประเทศ’ (Sovereign AI) เนื่องจากถ้าไทยไม่มี นั่นจะทำให้ประเทศตกอยู่ในสภาวะที่ถูกชักจูงทางการเมืองได้ไม่ยากและไม่มีอำนาจต่อรองลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.กอบกฤตย์ ฝากความหวังของการพัฒนา AI ระดับประเทศว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าไทยตกขบวน เพราะยุค AI ยังเพิ่งเริ่มต้นและความพิเศษของ AI คือการที่หลายโมเดลเปิด Open Source ให้ใครเข้าถึงและนำไปพัฒนาต่อได้ ต่างจากยุคอีคอมเมิร์ซที่แต่ละคนจำเป็นต้องคิดค้นทุกอย่างเองตั้งแต่เริ่ม
“โมเดลหลายตัวในตอนนี้เปิด Open Source ซึ่งมันเอื้อต่อการต่อยอด AI ของไทยมากและเราในฐานะประเทศก็มีชุดข้อมูลที่เป็นของคนไทยกันเองที่เป็นข้อได้เปรียบ ไทยไม่จำเป็นต้องเก่งแบบ Silicon Valley แต่ควรจะพัฒนา AI ไทยเด่นเรื่องภายในประเทศให้ดี” ดร.กอบกฤตย์ กล่าวเสริม
ไทยมีจุดแข็ง 5 ด้าน
เมื่อดูภาพรวมนโยบายและการลงทุนที่ผ่านมา นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปีที่ผ่านมาและด้วยอานิสงส์ภูมิรัฐศาสตร์ ไทยได้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลจำนวนมาก โดยเฉพาะ Data Center และ Cloud Service จากบริษัทชั้นนำทั้งสหรัฐฯ, จีน, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, อินเดีย, ออสเตรเลีย และไทย รวมถึง 16 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท
“นี่ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงเป็นอันดับ 1 และในปีนี้คาดว่าจะมีบริษัทชั้นนำระดับโลกตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง” นฤตม์กล่าว
โดยไทย เป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการลงทุน Data Center และ Cloud Service เพื่อรองรับการขยายตัวของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI และบริการด้านดิจิทัลต่างๆ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาค
รายชื่อบิ๊กเทคระดับโลกที่เข้ามาตั้ง Data Center ในไทย
เนื่องจากไทยมีข้อได้เปรียบอย่างน้อย 5 ด้าน คือ
1. ทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลาง เชื่อมภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะศักยภาพในการเป็น Connecting Hub สำหรับกลุ่ม CLMVT ที่มีประชากรรวมกันกว่า 250 ล้านคน
2. มีความมั่นคง ปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ Data Center เป็นธุรกิจที่ต้องการความมั่นคงสูง เพราะต้องรักษาข้อมูลสำคัญของลูกค้าในปริมาณมหาศาล ซึ่งไทยได้เปรียบในเรื่องนี้ เนื่องจากไม่มีแผ่นดินไหว ไต้ฝุ่น หรือภัยพิบัติรุนแรงเหมือนหลายๆ ประเทศ อีกทั้งไทยมีความเป็นกลางไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งในเวทีระหว่างประเทศ
3. โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ทั้งระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียร และมีศักยภาพในการจัดหาพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการลงทุน Data Center อีกทั้งมีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงติด 1 ใน 10 ของโลก และเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในอาเซียน สามารถรองรับการส่งข้อมูลได้ในปริมาณสูง
4. ตลาดในประเทศขยายตัวสูง ทั้งดีมานด์จากการยกระดับองค์กรต่างๆ ไปสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation) การกำหนดนโยบาย Cloud First Policy ของรัฐบาล
- สัดส่วนการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอยู่ในระดับสูงถึง 88% ของประชากร มีผู้ใช้งาน Social Media กว่า 70% ของประชากร
- คนไทยมีทักษะในการทำธุรกรรมการเงินผ่านระบบดิจิทัล เช่น PromptPay, Mobile Banking, e-Payment รวมทั้งใช้แอปพลิเคชันเพื่อรับสิทธิตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
5. สิทธิประโยชน์ที่ ‘จูงใจนักลงทุน’ ไม่ว่าจะเป็นการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม รวมถึงมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากกติกาภาษีใหม่ (Global Minimum Tax) ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกให้ความสำคัญ
EEC ทำเลทองดูดนักลงทุนบิ๊กเทค
จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC
เมื่อพูดถึงเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานและพื้นที่ จุฬามองว่า “ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์และโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในจุดที่น้ำขึ้นให้รีบสูบ ไม่ใช่แค่รีบตักแล้ว”
เศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียนขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปี จากการยอมรับเทคโนโลยี เช่น 5G, Al และ Cloud Computing การเติบโตของ Data Center, PCB และ Semiconductor ในไทยจะเห็นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในห้วงปีสองปีนี้
นอกจากนี้ดูตัวเลขจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์จะพบว่า ตลอดทั้งปี 2567 มีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1 พันล้านบาท จำนวน 15 ราย รวม 45,558 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเกี่ยวกับ AI, Data Center
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก IMF ระบุว่า การลงทุนอุตสาหกรรม AI ในบรรดาเพื่อนบ้านอาเซียน คงต้องยกให้สิงคโปร์ซึ่งโดดเด่นในฐานะผู้นำระดับภูมิภาคในการนำ AI มาใช้ ในขณะที่มาเลเซียและไทยกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาด AI ทว่าหากเปรียบเทียบไทยกับสิงคโปร์ ถือว่าไทยยังมีช่องว่างด้านงบประมาณและระบบนิเวศด้าน AI
โดยข้อมูลจาก ในปี 2024 รัฐบาลสิงคโปร์จัดสรรงบประมาณด้านเทคโนโลยี และ AI ถึง 5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็น 4.7% ของงบประมาณทั้งหมด ขณะที่ ไทยจัดสรรงบประมาณเพียง 2.8 หมื่นล้านบาท (0.8%) ในภาคเอกชน ไทยมีสตาร์ทอัพที่ใช้ AI เป็นธุรกิจหลักเพียง 21 แห่ง ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ที่มีถึง 1,100 แห่ง และมาเลเซียที่ 296 แห่ง นอกจากนี้การลงทุนในสตาร์ทอัพด้าน AI และ Deep Tech ของเอกชน ไทย อยู่ที่เพียง 639 ล้านบาท ในปี 2022 ตัวเลขดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า AI ของไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วจะเห็นได้ว่า บทสรุปของความฝันในการเป็น AI Hub ประเทศไทย อาจอยู่ไม่ไกล และใช่ว่าจะไม่มีความหวังเลย แต่ต้องยอมรับว่ายังมีปัจจัยหลายส่วนที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพราะผลลัพธ์ของ AI Hub จะออกมาทิศทางไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ การเตรียมความพร้อม และการลงมือทำ ทุกหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน
ภาพ: MR.Cole_Photography / Getty images