จากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีมติ 5 ต่อ 4 เสียง สั่งถอดถอน เศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดัชนี SET ร่วงลงทันทีกว่า 20 จุด จากราว 1,304 จุด ไปทำจุดต่ำสุดที่ 1,281 จุด หรือติดลบไป 16.8 จุด ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวกลับมาปิดตลาดที่ 1,292.69 จุด ลดลง 5.1 จุดจากวันก่อนหน้า
แรงเทขายที่เกิดขึ้นในวันนี้ (14 สิงหาคม) มาจากกลุ่มพาณิชย์มากที่สุด นำโดยหุ้น บมจ.ซีพีออลล์ (CPALL) ลดลง 4.74% รวมทั้งหุ้นของ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT) ลดลง 4.27%
ในมุมกลับกัน หุ้นที่อิงกับตระกูลการเมือง อาทิ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และ บมจ.เอสทีพี แอนด์ ไอ (STPI) ซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลชาญวีรกูล ปรับตัวขึ้น 11.11% และ 5.49% ตามลำดับ จากความคาดหวังที่ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ผลคำวินิจฉัยล่าสุดถือว่าเหนือความคาดหมายของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด ทำให้หุ้นที่เชื่อมโยงกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต ปรับตัวลดลงจากความกังวลที่ว่าโครงการดังกล่าวอาจจะเลื่อนออกไปหรืออาจถูกพับโครงการไปได้
“ช่วงระหว่างการมีนายกรัฐมนตรีรักษาการ โดยปกติแล้วนโยบายหลักๆ จะถูกชะลอไปโดยปริยาย ทำให้เศรษฐกิจที่มักจะเป็นโลว์ซีซันอยู่แล้วในไตรมาส 3 จะถูกซ้ำเติมจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจที่แย่ลง”
และหากกระบวนการทางการเมืองในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ยิ่งล่าช้า อาจนำไปสู่การปรับลดคาดการณ์ GDP และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“หากได้นายกรัฐมนตรีใหม่ภายในไตรมาส 3 เชื่อว่าดัชนีจะยืนอยู่เหนือ 1,270 จุดต่อไปได้ แต่หากล่าช้าจะมีความเสี่ยงที่กำไรของตลาดจะถูกกระทบและนำไปสู่การปรับลดประมาณการ”
ด้าน บล.บัวหลวง ระบุว่า สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้แบ่งเป็น 2 ประเด็น คือ
- การเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อยุคนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช และนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ พบว่าใช้เวลาค่อนข้างสั้นเพียง 8 วัน และ 13 วัน ตามลำดับ และตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่สำเร็จภายใน 1 สัปดาห์
- โอกาสในการเลื่อนพิจารณา พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2568 ที่ผ่าน สส. วาระ 1 แล้ว จะเข้าวาระ 2 และวาระ 3 ซึ่งอาจจะชะลอจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ คาดว่าจะใช้เวลาอีกไม่เกิน 1 เดือน ยกเว้นสัดส่วน สส. แต่ละพรรคเปลี่ยนแบบมีนัยสำคัญหรือเกิดการสลับขั้ว
ทั้งนี้ แม้เป็นกรณีเลื่อนออกไปก็ยังมีงบประมาณเพิ่มเติมปี 2567 อยู่ราว 1.2 แสนล้านบาทที่ สว. พิจารณาภายในวันที่ 13 สิงหาคม รออยู่แล้ว
- ความเสี่ยงของนโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเล็ตแบ่งออกเป็น
– กรณีที่ 1 คือ เดินหน้าต่อบนขนาด รูปแบบ และเงื่อนไข ปัจจุบัน
– กรณีที่ 2 เดินหน้าต่อแต่ลดขนาด และปรับรูปแบบ-เงื่อนไข ซึ่งไม่ได้มีผลด้านลบกับตลาด
– กรณีที่ 3 ยกเลิกโครงการแบบไม่มีแผนสำรอง ซึ่งจะเป็นลบ เพราะเดิมทีคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยสรุปแล้ว หลังนายกรัฐมนตรีถูกถอดถอน หากไม่เกิดการสลับขั้ว คาดว่าหุ้นไทยจะปรับลงแรงแค่ชั่ววูบในช่วงหลังทราบผล จากนั้นจะมีแรงซื้อกลับ แนะนำหุ้น Low Beta ที่ผันผวนน้อยกว่าตลาด เพราะจะเป็นกลุ่มที่พักเงินลงทุน โดยเน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง, เป็นเป้าหมายของกอง TESG และกองทุนวายุภักษ์ เช่น AOT, ADVANC, BH, PTT, KTB, BBL และ GULF
ด้าน ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ กล่าวว่า ผลที่ออกมาค่อนข้างผิดไปจากที่คาด ทำให้โครงการหลักอย่างดิจิทัลวอลเล็ตอาจล่าช้าไปกว่าแผนเดิม
“สิ่งที่ต้องติดตามคือ พรรคเพื่อไทยจะยังเป็นแกนนำรัฐบาลต่อไปหรือไม่ หากไม่ใช่ก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะแย่ลงไปกว่านี้ แต่โดยภาพรวมแล้วเชื่อว่าระหว่างนี้หุ้นไทยจะซึมลง”
FETCO มอง ผลวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญผิดคาด หวั่นสุญญากาศฉุดเศรษฐกิจ
ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นผลคำวินิจฉัยที่ผิดคาดของนักลงทุนส่วนใหญ่ ซึ่งเดิมคาดว่า เศรษฐา ทวีสิน จะยังอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ดังนั้นผลคำวินิจฉัยที่ออกมาจะทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองในระยะสั้นในช่วงที่มีกระบวนการสรรหาบุคคลมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
“คงต้องยอมรับว่าจะเกิดสุญญากาศทางการเมืองในช่วงหนึ่ง ซึ่งต้องติดตามต่อว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลจะเดินอย่างไรต่อ จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นท่านไหน หรือรัฐบาลจะมีการเปลี่ยนขั้วหรือไม่ นโยบายเรือธงทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่มีอยู่จะยังทำต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งจะเป็นคำถามที่นักลงทุนต้องมีต่อไปจากนี้” ไพบูลย์กล่าว
ทั้งนี้มีมุมมองว่า ปฏิกิริยา (Reaction) ของตลาดหุ้นไทยวันนี้หลังมีผลคำวินิจฉัยออกมา ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ปรับตัวลดลงแรงมาก สะท้อนว่าภาพรวมราคาหุ้นไทยยังไม่ได้แพงมากในสายตานักลงทุน
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายประเด็นที่ต้องรอติดตามสถานการณ์และความชัดเจนต่อไป โดยเฉพาะกรณีหากมีการยุบสภาและนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากจะเกิดความเสี่ยงมากขึ้น เพราะจะมีภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่ยาวนานขึ้น รวมถึงจะมีการเปลี่ยนขั้วแกนนำพรรครัฐบาลหรือไม่ และการบริหารงานของคณะรัฐมนตรีชุดรักษาการจะยังทำงานได้ต่อเนื่องหรือไม่ อีกทั้งการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจต่างๆ จะต้องพักไปก่อนด้วยหรือไม่
นอกจากนี้ยังต้องติดตามประเด็นการเบิกจ่ายงบประมาณของปี 2567 ในส่วนของเม็ดเงินลงทุนที่ยังไม่ได้นำมาใช้อีกประมาณ 4 แสนล้านบาท จะสามารถนำมาใช้ได้มากหรือน้อยแค่ไหน
“กรณีถ้ามีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ จะเป็นปัจจัยลบมากกว่าการหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพราะต้องเลือกตั้งใหม่ ทำให้มีความไม่แน่นอนมากกว่า ซึ่งต้องใช้เวลานานอีกหลายเดือนกว่าจะเลือกตั้งเสร็จจนจัดตั้งได้รัฐบาลใหม่ มองว่าฝ่ายรัฐบาลจะไม่เลือกยุบสภาและน่าจะยืนหยัดในขั้วเดิม แล้วหาบุคคลที่เหมาะสมมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อสานต่อนโยบายเดิม ซึ่งรวมถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตด้วย”
ไพบูลย์กล่าวต่อว่า มีความเป็นห่วงว่าหากเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ก่อนหน้านี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว โดยอาจทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจกลับทิศไปชะลอตัวอีกครั้ง แต่ประเด็นทั้งหมดที่กล่าวมายังคงต้องติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าต่อไป