สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ค่อนข้างดี โดยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.7% จากก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนที่ติดลบมาไปมา 6 ไตรมาสติดต่อกัน โดยมาจากปัจจัยจากความเชื่อมั่นที่ปรับดีขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น
หุ้นไทยไตรมาส 4 วิ่งต่อรับดอกเบี้ยขาลง
สำหรับในไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักมาจากมาตรการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ควบคุมเข้มงวดมากขึ้นสำหรับธุรกรรม Short Sell ประกอบกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้กระแสเงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นได้ในระดับหนึ่ง แม้ไม่มากแต่ก็อาจส่งผลให้แรงขายในตลาดหุ้นไทยชะลอลง
ขณะที่ประเมินว่า กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) รวมถึงประเทศในกลุ่มเอเชีย ในช่วงระยะ 2-3 เดือนข้างหน้ามีโอกาสที่จะเห็นการทยอยปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของกลุ่มประเทศเหล่านี้ลงตามทิศทางของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่เริ่มปรับลดดอกเบี้ยไปแล้วก่อนหน้า ซึ่งจะส่งผลให้เสถียรภาพของค่าเงินในอนาคตของภูมิภาคเอเชียปรับดีขึ้น
อย่างไรก็ดี กรณีหาก Fed ยังคงเดินหน้าลดดอกเบี้ยลงแรงอย่างต่อเนื่อง ยังมีความเสี่ยงที่จะมีผลกระทบให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อเนื่อง
สิทธิชัยกล่าวต่อว่า หากดูข้อมูลภาคการผลิตของประเทศไทย ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงเวลาที่ดี และกำลังก้าวสู่ช่วงที่ดีที่สุด ช่วงการผลิตที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีจำนวนสินค้าคงคลังที่ทยอยลดลงหลังภาคการผลิตของไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2023 โดยเริ่มกลับมาเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับภูมิทัศน์การลงทุนหลังจากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลบวกต่อทิศทางต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทย รวมทั้งตลาดหุ้นเอเชียโดยปกติที่มักจะให้ผลตอบแทนในเชิงบวก
นอกจากนี้สำหรับประเทศไทยจากสถิติในอดีตในช่วงที่ดอกเบี้ยของไทยปรับลดลงจำนวน 5 ครั้งหลังสุด พบว่ามี 4 ครั้งที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นและให้ผลตอบรับเป็นบวก
คาด กนง. เริ่มหั่นดอกเบี้ยปลายปีนี้หนุนหุ้นไทย
โดยคาดว่ามีโอกาสที่จะเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยในช่วงเดือนตุลาคมหรือธันวาคมปีนี้ ดังนั้นทิศทางดอกเบี้ยของไทยที่กำลังปรับลดลงในช่วงปลายปีนี้จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจะสามารถช่วยปัญหาของไทยที่มีดังนี้
- สถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่สูง
- หนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง
- มีการลงทุนและการกู้ยืมที่สูง
สิทธิชัยยังประเมินว่า เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นแบบ Sideway Up ไปที่ระดับ 1,500 จุด และมีเป้าหมายจากถัดไปที่ระดับ 1,550 จุด โดยประเมินว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในไตรมาส 3 ปีนี้จะเติบโต 22% และในไตรมาส 4 ปีนี้จะเติบโตได้อีกประมาณ 15%
เปิดชื่อกลุ่มหุ้นจะ Outperform ในไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะ Outperform ในไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่
- คอมเมิร์ซ
- เฮลท์แคร์
- รีท (REIT)
- ยูทิลิตี้
- เทเลคอม
- อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะ Underperform ในไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่
- ชิ้นส่วนยานยนต์
- เกษตร
- ก่อสร้าง
- ปิโตรเคมี
พร้อมทั้งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของจีน
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศยังคงแนะนำให้ลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกการลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ โดยประเมินว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้ Sentiment จากภาพของดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่เป็นขาลง รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น Microsoft และ AMD ซึ่งคาดว่าจะยังเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นผลักดันตลาดสหรัฐฯ ให้ปรับขึ้น แต่ในระยะสั้นอาจเห็นแรงขายของนักลงทุนสลับหรือลงทุนในหุ้นตัวอื่นบ้าง
ด้านเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากยุโรปพึ่งพิงอุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ในสัดส่วนสูงซึ่งกำลังชะลอตัว ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปควรเน้นหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มไฟฟ้า และกลุ่มพลังงานทดแทน
ด้านตลาดหุ้นจีน แนะนำให้ลงทุนให้หลีกเลี่ยงการลงทุน เพราะมีความเสี่ยงสูงจากภาพการเก็งกำไรที่สูง ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงไม่ดี จึงแนะนำให้ย้ายการลงทุนไปในตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีปัจจัยที่ดีกว่า