×

กลยุทธ์ หุ้นไทย …ให้ความสำคัญกับหุ้นรายตัวมากกว่าตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทน

29.06.2022
  • LOADING...
หุ้นไทย

ตลาดหุ้นผันผวน และหลุดต่ำกว่า 1,600 จุดอีกครั้ง โดยดัชนี หุ้นไทย (SET) เคลื่อนไหวในทิศทางขาลงตลอดทั้งเดือนมิถุนายน ปัจจัยกดดันมาจากความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงทั่วโลก และการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% โดยมีโอกาสที่ดอกเบี้ยจะขึ้นแรงไปถึงสิ้นปีนี้ ทำให้มีการคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องใช้มาตรการควบคุมอัตราเงินเฟ้อควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจ เนื่องจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมีจำกัด ส่งผลให้นโยบายการเงินและการคลังเริ่มตึงตัวขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อบางธุรกิจ อีกทั้งมาตรการที่ภาครัฐขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่น-โรงแยกก๊าซ นำส่งกำไรส่วนเกินเพื่อช่วยบรรเทาราคาน้ำมัน ยิ่งทำให้เกิดแรงขายในหุ้นขนาดใหญ่ 

 

ขณะที่หุ้นที่ช่วยหนุนตลาดส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศเป็นหลัก แต่ก็ยังไม่สามารถประคองตลาดโดยรวมได้มากนัก ทั้งนี้ ในภาพรวม มองว่า SET ยังมีความเสี่ยงด้าน Downside จากการปรับลดประมาณการกำไรใน 3Q65 และความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยภายนอก ทำให้การลงทุนมีความซับซ้อนมากขึ้น 

 

ดังนั้นผมจึงอยากให้ความสำคัญกับการเลือกหุ้นรายตัวมากกว่าด้วยกลยุทธ์ Selective Buy โดยเน้นในกลุ่มหุ้นที่ปลอดภัย และมีการฟื้นตัวของกำไรชัดเจน ดังนี้ 

 

  1. กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น เลือก KBANK, BBL, BLA และ THREL ซึ่งคาดราคาหุ้นจะตอบสนองเชิงบวกต่อการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วกว่าคาดของ ธปท. และยังเป็นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรช่วง 2Q-4Q65 ปรับตัวดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ 

 

  1. กลุ่มหุ้นท่องเที่ยว เลือก AOT และ AWC ซึ่งได้รับผลลบจากดอกเบี้ยขาขึ้นจำกัด ขณะที่ช่วงที่เหลือปีนี้คาดจะเห็นผลประกอบการฟื้นตัวดีขึ้น 

 

  1. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งสนใจหุ้นที่ราคาปรับลงมาแรงแล้ว ทำให้มี Risk/Reward ที่ดี อีกทั้งล่าสุดได้ผลบวกปัญหาอุปทานมีแนวโน้มคลี่คลายลง และอุปสงค์ปรับตัวดีขึ้น แนะนำหาจังหวะเก็งกำไรในหุ้น Recovery อย่าง MAKRO และ CBG ส่วนช่วงสั้นแนะนำเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนใน 1) หุ้นที่ได้รับผลกระทบลบจากดอกเบี้ยขาขึ้น เช่น หุ้นที่มีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อสูง THANI, AEONTS, MTC, TISCO และ KKP) และหุ้นที่มีภาระหนี้สินสูง เช่น กลุ่มอาหาร กลุ่มขนส่งทางบก กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงไฟฟ้า และ 2) หุ้นขุดเหมือง ซึ่งคาดได้ผลลบจากการปรับลงของราคา BTC และมีต้นทุนไฟฟ้าสูงขึ้น ทำให้ผลตอบแทนหรือระยะเวลาคืนทุนจะแย่กว่าคาด 

 

ทั้งนี้ ผมนำหุ้นในกลุ่มต่างๆ ที่แนะนำมาจัดพอร์ตหุ้น 5 ตัว ไว้เป็นแนวทางสำหรับนักลงทุน ดังนี้ครับ 

 

  1. KBANK หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะมีสัดส่วนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัว และสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์ในระดับสูง และมี Valuation ไม่แพง นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงกิ้ง และสินเชื่อเติบโตเด่น 

 

  1. BBL ได้ประโยชน์วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่ Valuation น่าสนใจ และเป็นหุ้น Laggard Play มองราคาหุ้นยังไม่สะท้อนแนวโน้มกำไรที่เติบโตดีขึ้น รวมทั้งมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุดในกลุ่ม 

 

  1. AOT ศบค. ยกเลิก Thailand Pass และยกเลิกกำหนดเงินประกันสุขภาพนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีผลวันที่ 1 กรกฎาคม หนุนจำนวนนักท่องเที่ยวเร่งตัวขึ้น และผลประกอบการฟื้นตัว อีกทั้ง Valuation ไม่แพง และปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด

 

  1. AWC อีกหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งมากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และจะสนับสนุนผลประกอบการปี 2565 ให้ปรับตัวดีขึ้น 

 

  1. CBG ได้ผลบวกจากราคาอะลูมิเนียมปรับตัวลง และคาดกำไรจะต่ำสุดใน 1H65 และเข้าสู่ขาขึ้นตั้งแต่ 2H65 โดยอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น (คาดราคาอะลูมิเนียมสูงสุดแล้วใน 1Q65) การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และปริมาณการขายตลาดต่างประเทศเติบโต 
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising