×

14 พ.ค. ออกจากคูหา จะไม่หันหลังกลับไป

10.05.2023
  • LOADING...

ช่วงนี้บทสนทนาที่คนชวนคุยเยอะที่สุดคงหนีไม่พ้นจะเลือกพรรคอะไร ข่าวที่หลั่งไหลมากที่สุดก็คือ ไม้ตายสุดท้ายของแต่ละพรรคในการหาเสียง

 

เท่าที่ผมสังเกตจากการได้ทำงานด้านสื่อมวลชน ผมพบเหตุผลในการกาบัตรของคนสักคน ประกอบด้วยปัจจัยหลัก 3 ข้อ คือ

 

  • ความเชื่อ 
  • ความรู้สึก
  • ความรู้

 


 

  • 14 พ.ค. นี้ ชวนติดตาม ผลการเลือกตั้ง 2566 แบบเรียลไทม์หลังปิดหีบ ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป ที่ https://election2566.thestandard.co/

 


 

หนึ่ง ความเชื่อ น่าจะเป็นประตูบานแรกหรือปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดที่คนใช้ตัดสินใจ 

 

ความเชื่อ คือ อุดมการณ์ ขั้วอำนาจ คุณค่า และค่านิยม ที่เราเชื่อตรงกับพรรคนั้นๆ เช่น เสรีนิยมหรืออนุรักษนิยม กระจายอำนาจหรือรวมศูนย์อำนาจ เปลี่ยนใหม่หรือเหมือนเดิม ประชาธิปไตยสากลหรือประชาธิปไตยไทยนิยม 

 

แม้กระทั่งความเชื่อส่วนบุคคลในแง่มุมต่างๆ ที่คุณเชื่อมโยงกับความเชื่อของพรรคนั้น เปรียบเสมือนคุณได้ค้นพบตัวตนของคุณที่หล่นหายอยู่ในนั้น

 

สอง ความรู้สึก คือ ความนิยมชมชอบหรือเกลียดชังเข็ดขยาด ที่ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับตัวบุคคล โดยเฉพาะอารมณ์ความรู้สึกระหว่างคนกับคนด้วยกัน นั่นคือความรู้สึกที่คุณมีต่อแคนดิเดตนายกฯ และผู้นำของแต่ละพรรค 

 

คุณอาจจะรู้สึกใช่ โดนใจ และถูกชะตากับคนคนนั้นจากหน้าตา บุคลิก การพูดจา การแสดงออก หรือคุณอาจจะรำคาญ สุดขยะแขยง และถึงขั้นเหม็นขี้หน้ากับบางกิริยาท่าทางของผู้นำบางคน

 

ในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง เราจะพบกลยุทธ์ในการโน้มน้าวคนด้วยวิธีการนี้เยอะมาก โดยเฉพาะการใช้ความกลัวหรือความเกลียดชังมาเป็นตัวกระตุ้น

 

สาม ความรู้ ผมไม่ได้หมายถึงความรู้ทางวิชาการนะครับ แต่หมายถึงสิ่งที่เราคิด ไตร่ตรอง วิเคราะห์ มาอย่างเป็นเหตุเป็นผล พยายามตัดอารมณ์ความรู้สึกออกไปให้ได้มากที่สุด

 

ความรู้ในที่นี้ก็เช่น นโยบายของแต่ละพรรค ความรู้ความสามารถในความเป็นผู้นำของแคนดิเดต ผลประโยชน์ที่จะได้รับจาก ส.ส. เขตในพื้นที่ ประสบการณ์ในอดีตที่อาจส่งผลต่อการทำงาน 

 

หรือแม้กระทั่งการเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์ การเลือกโดยคิดถึงความเป็นไปได้ ฉากทัศน์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือตัดความรู้สึกและความเชื่อออก แต่ดูที่ความเป็นไปได้เป็นน้ำหนักสำคัญในการตัดสินใจ

 

3 ปัจจัยนี้แต่ละคนก็จะให้น้ำหนักที่แตกต่างกันออกไป บางคนใช้ความเชื่อนำ บางคนใช้ความรู้สึกนำ ไม่มีผิดไม่มีถูก นี่คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิเท่ากัน

 

แต่เนื่องจากประเทศไทยในวันนี้อยู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จุดหักเหทางประวัติศาสตร์ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ภูมิรัฐศาสตร์ และเทคโนโลยี เราจะบริหารประเทศแบบ Autopilot โดยปล่อยเกียร์ว่างไม่ได้ 

 

บทบาทของผู้นำในชั่วโมงนี้จึงมีความสำคัญสูงมาก 

 

ผมอยากจะชวนคิด ชวนถาม เพื่อประกอบการตัดสินใจเพิ่ม โดยนำ 3 ปัจจัย ความเชื่อ ความรู้สึก และความรู้ บวกความเป็นผู้นำ ประมวลเป็น 7 คำถาม

 

  1. ผู้นำคนนั้นเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของโลกแค่ไหน เข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของไทยหรือเปล่า มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์เพียงพอจริงไหม ที่จะพาไทยเกาะไปกับคลื่นแห่งอนาคต

 

  1. ผู้นำคนนั้นทำงานได้จริงหรือไม่ ขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงได้หรือเปล่า ทำให้กลยุทธ์เป็นรูปธรรมได้ไหม เขาและทีมมีความสามารถในการตัดสินใจ จัดลำดับความสำคัญ บริหารงานให้เกิด Productivity ได้มากน้อยแค่ไหน

 

  1. ผู้นำคนนั้นเป็น ‘ตัวกลาง’ จัดการความขัดแย้ง หรือเป็น ‘ใจกลาง’ ความขัดแย้งให้มันแย่ลง เขามีศิลปะในการทำงานกับคนที่คิดต่างได้ไหม

 

  1. ผู้นำคนนั้นเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ยอมรับใน Diversity เห็นหัวประชาชนว่าเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันหรือไม่

 

  1. ผู้นำคนนั้นเข้าใจและมีวิธีการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ช่องว่าง และความถ่าง ของ ‘คนมี’ กับ ‘ไม่มี’ หรือเปล่า

 

  1. ผู้นำคนนั้น ถ้ามานำคุณ คุณอยากทำงานกับเขาไหม คุณพร้อมตามเขาไหม ถ้าคุณมีลูกจะไว้ใจให้ลูกทำงานกับเขาไหม คุณจะฝากอนาคตของหลานคุณให้กับเขาได้ไหม

 

  1. ผู้นำคนนั้นพร้อมจะล้มแล้วลุก เผชิญอุปสรรค ต่อสู้ มี Commitment มี Passion และความอึดในการทำงานการเมืองจริงหรือเปล่า เขาพร้อมจะผิดหวัง ล้มเหลว และเสียสละ มากน้อยแค่ไหน

 

14 พฤษภาคมนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกใครด้วยเหตุผลใด ผมสนับสนุนให้ทุกคนออกไปปล่อยพลัง ส่งเสียง แสดงเจตจำนง กาบัตรเลือกตั้งด้วยความมั่นใจ  

 

กาคนที่หัวใจคุณเรียกร้อง คนที่ทำให้หัวใจสั่นไหว คนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง เมื่อเดินออกจากคูหา คุณจะไม่เสียดาย ไม่เสียใจ และจะไม่หันหลังกลับไป

 

นครินทร์ วนกิจไพบูลย์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising