×

คาดต่างชาติแห่ถือบอนด์ไทยหลบความผันผวนเศรษฐกิจต่างประเทศ ThaiBMA เชื่อไม่ใช่เงินร้อนเข้าเก็งกำไรค่าเงินบาท

11.05.2023
  • LOADING...

ตราสารหนี้ไทยสุดฮอต ต่างชาติเดินหน้าลุยซื้อวันเดียว 2.52 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบ 6 เดือน พันธบัตรสั้นฮิตสุดถูกซื้อไป 2.27 หมื่นล้านบาท ได้ปัจจัยหนุนระยะสั้นหลังบาทแข็งเปรียบเทียบดอลลาร์อ่อน เหตุกังวลปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ

 

อริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิพันธบัตรเพียงวันเดียวในตลาดตราสารหนี้ระดับประมาณ 2.52 หมื่นล้านบาท สูงสุดในรอบประมาณ 6 เดือน โดยแบ่งเป็นการเข้ามาซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้นมากถึงประมาณ 2.27 หมื่นล้านบาท และเข้าซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะยาวประมาณ 2.5 พันล้านบาท โดยสะท้อนนักลงทุนต่างชาติเห็นเป็นจังหวะและโอกาสการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ของไทยในระยะสั้น จากปัจจัยความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุนต่างประเทศ ส่งผลกระทบค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นในระยะสั้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงินดอลลาร์ จากผลกระทบของความกังวลสถานการณ์เพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน

 

“Fund Flow ที่ซื้อสุทธิในตราสารหนี้ระยะสั้นยังสรุปไม่ได้ว่าเป็น Hot Money ที่เข้ามาเก็งกำไรค่าบาทที่แข็งเพราะยังต้องใช้เวลาติดตามดูข้อมูล เพราะโดยปกตินักลงทุนต่างชาติก็มีการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นอายุต่างๆ อยู่แล้ว”

 

อีกทั้งส่วนหนึ่งในวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดประมูลขายพันธบัตร 2 ชุด แบ่งเป็นชุดแรกพันธบัตรอายุ 1 ปี วงเงินรวม 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีความต้องการสูงกว่า 2.5 เท่าของมูลค่าเสนอขายจริง โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (Yield) อยู่ที่ประมาณ 2% และชุดที่สองเปิดประมูลขายพันธบัตรอายุ 3 เดือน วงเงินรวม 6 หมื่นล้านบาท

 

“มองว่านักลงทุนต่างชาติที่ซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้คงไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง แต่เพราะเห็นโอกาสในระยะสั้น เนื่องจากเป็นจังหวะที่เปิดประมูลขายพันธบัตรของแบงก์ชาติในวงเงินที่สูง ส่วนค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และยังได้ Yield ที่ดี มองว่าไม่ใช่ Fund Flow เข้ามาแล้วทำให้เงินบาทแข็ง แต่มองว่าต่างชาติมองแนวโน้มว่าเงินบาทจะแข็งค่าเลยเข้ามาลงทุน”

 

สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศของไทยที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ มองว่านักลงทุนไม่ได้เข้าซื้อสุทธิเพราะปัจจัยดังกล่าว แต่น่าจะมาจากน้ำหนักของปัจจัยต่างประเทศที่เกิดโอกาสการลงทุนในระยะสั้นมากกว่า เนื่องจากปัจจัยการเลือกตั้งยังต้องติดตามความชัดเจนในระยะยาวว่ารัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง จะดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อเศรษฐกิจมหภาคอย่างไร ซึ่งเป็นปัจจัยในระยะยาวที่ยังต้องติดตาม

 

ขณะที่นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมปีนี้ถึงล่าสุด ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยไปแล้วประมาณ 5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 ถึงปัจจุบันแบบรายเดือนมียอดการซื้อขายที่มีความผันผวน โดยในเดือนมกราคมปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 6.4 หมื่นล้านบาท เดือนมีนาคมปีนี้นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท และในเดือนเมษายนปีนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาท 

 

ส่วนปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติมียอดถือครองพันธบัตรในตราสารหนี้รวมอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา สะท้อนว่าในระยะยาวนักลงทุนต่างชาติยังมีความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคของไทยที่ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง จนต้องปรับนโยบายการลงทุนในระยะยาว

 

อย่างไรก็ดี หากดูตัวเลข Fund Flow ตั้งแต่ต้นปี 2023 ถึงปัจจุบัน (YTD) นักลงทุนต่างชาติยังมียอดขายสุทธิรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาพการเคลื่อนไหวของ Fund Flow ในช่วงที่เหลือในตลาดตราสารหนี้ของไทย คาดว่าจะยังเห็นการผันผวนต่อเนื่องจากปัจจัยกระทบของข้อมูลเศรษฐกิจในต่างประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนในหลายๆ ปัจจัย ทั้งประเด็นปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)


บทความที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising