TASTE: Sushi Zo โอมากาเสะจากลอสแอนเจลิส ที่อบอุ่นทุกครั้งที่กลับไปเยือน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 ในยุคที่ร้านอาหารญี่ปุ่นยังไม่เยอะราวดอกเห็ดเหมือนเช่นทุกวันนี้ หากโฟกัสไปที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเสะ ณ เวลานั้นดูเหมือนมีอยู่แค่ไม่กี่ร้าน และแน่นอนว่า Sushi Zo คือหนึ่งในร้านโอมากาเสะแห่งแรกๆ ของไทย ที่เปิดประตูต้อนรับผู้ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นและเหล่านักชิมทั่วโลกมาตลอด 6 ปีที่ผ่านมา

Sushi Zo สาขาแรกถือกำเนิดขึ้นที่เมืองลอสแอนเจลิส เมื่อปี 2006 โดยเคโซ เซกิ (Keizo Seki) เชฟชาวโอซาก้าที่ฝึกปรือฝีมือจากโตเกียว ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิสเมื่อปี 1991 และเริ่มต้นทำงานในซูชิบาร์ชั้นนำประจำเมือง จนมาเปิดร้านโอมากาเสะของตัวเองในอีก 15 ปีต่อมา และด้วยฝีมืออันโดดเด่นทำให้ Sushi Zo สาขาลอสแอนเจลิสได้รับดาวมิชลินดวงแรกในปี 2009 ในเวลาเดียวกันเชฟก็ขยายอีก 2 สาขา โดยเปิดเพิ่มในลอสแอนเจลิสอีก 1 สาขา ส่วนอีกสาขาเปิดที่นิวยอร์ก ต่อมาปี 2016 เชฟก็ข้ามทวีปมาเปิดสาขาที่ 4 ที่กรุงเทพฯ และเริ่มส่งต่อความเป็นเลิศด้านฝีมือโอมากาเสะให้ผู้ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นในไทยได้ลิ้มลอง และเมื่อปี 2019 ก็เปิดสาขาที่ 5 ที่ฮ่องกง

จากโรงแรมดิ แอทธินี เดินตัดล็อบบี้ไปยังฝั่งทาวเวอร์ไม่กี่อึดใจก็จะพบกับ Sushi Zo โอมากาเสะที่ซ่อนตัวอยู่หลังประตูเล็กๆ ซึ่งจุแขกได้รอบละ 10-12 ท่านเท่านั้น ตัวร้านตกแต่งอย่างเรียบหรูด้วยโทนสีเทาและเบจสลับไม้ไผ่ และมีเพียงบาร์โอมากาเสะกับเก้าอี้หันหน้าเข้าหาเชฟเท่านั้น

Sushi Zo สาขากรุงเทพฯ ได้เชฟโทชิ โอนิชิ (Toshi Onishi) เป็นเชฟใหญ่และอยู่เบื้องหลังความอร่อยแต่ละคำที่ส่งจากหน้าบาร์สู่มือผู้รับประทาน โดยเชฟโทชิผ่านการเทรนเชฟฝรั่งเศสกับอิตาเลียนมาก่อน จากนั้นจึงผันตัวมาเป็นซูชิเชฟมากกว่า 10 ปีที่ลอสแอนเจลิส แล้วจึงย้ายมาประจำอยู่ที่กรุงเทพฯ ในส่วนของการควบคุมคุณภาพ ดูแลกำกับโดยเชฟเคโซ ผู้ก่อตั้ง Sushi Zo ที่บินมาจากลอสแอนเจลิสปีละไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งด้วยตัวเอง

โอมากาเสะที่นี่มาในรูปแบบเอโดมาเอะซูชิ โดยหมักข้าวด้วยน้ำส้มสายชูแดงและขาวเบลนด์พิเศษที่ร้านทำขึ้นเอง และใช้เฉพาะวัตถุดิบชั้นเลิศส่งตรงจากชาวประมงท้องถิ่นในตลาดปลาฮอกไกโดและคิวชู ส่วนวัตถุดิบอื่นๆ ทางร้านทำขึ้นด้วยตัวเอง ตั้งแต่โชยุไปจนถึงขนมในคอร์สสุดท้าย จุดเด่นของคุณภาพวัตถุดิบของ Sushi Zo คือเรื่องข้าว ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของซูชิแทบทุกคำ ข้าวที่ใช้ล้วนผ่านการหุงด้วยน้ำแร่ใต้ดินจากฮอกไกโด และเสิร์ฟในอุณหภูมิเดียวกับอุณหภูมิร่างกาย เพื่อให้ข้าวมีรสชาติที่ดีที่สุดและไม่กลบรสปลาซึ่งเป็นพระเอกของมื้ออาหาร

การเสิร์ฟโอมากาเสะสไตล์ Sushi Zo จะนำเสนอข้าวปั้นสลับเมนูกินเล่นไปเรื่อยๆ จนจบคอร์ส ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที

เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อย รอไม่นานเมนูเรียกน้ำย่อยก็มาเสิร์ฟ Uni & Ikura ข้าวญี่ปุ่นในซุปขลุกขลิก ท็อปด้วยไข่หอยเม่นและไข่ปลาแซลมอน โรยด้วยสาหร่าย เมนูเรียบง่ายและนำเสนอความเป็นเลิศด้านรสชาติของวัตถุดิบจริงๆ

Nodoguro ข้าวปั้นหน้าปลากะพงสีชมพู ซึ่งปลาชนิดนี้จัดเป็นปลาเนื้อขาวจากทะเลน้ำลึก เนื้อนุ่มเนียนและมีชั้นไขมันบางๆ ที่พร้อมละลายในปาก เชฟนำถ่านไม้ร้อนๆ ไปจี่กับปลา ได้ทั้งกลิ่นหอมของปลาและถ่านในเวลาเดียวกัน

ถัดมาเป็นแฮนด์โรล ข้าวห่อสาหร่ายเสิร์ฟแบบอุ่น ทำสดใหม่หน้าเคาน์เตอร์ สอดไส้ปูกับอูนิ เป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมและถูกใจเหล่านักชิมทั่วโลก

ส่วนใครที่ชอบรับประทานอะวาบิหรือเป๋าฮื้อ ต้องห้ามพลาดข้าวปั้นหน้าเป๋าฮื้อเนื้อเด้งกรุบ ราดซอสตับหอยเป๋าฮื้อรสเข้มข้น

ข้าวปั้นหน้าไข่หอยเม่นก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ผู้คนนิยมสั่งเพิ่ม แม้จะเป็นวัตถุดิบที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับที่นี่คำเดียวไม่เคยพอ หรือจะเป็นข้าวปั้นหน้าปลาไหล เนื้อนุ่มชุ่มลิ้นไม่แพ้ปลาดิบคำอื่นเลย

ปิดท้ายมื้อด้วยของหวานที่เสิร์ฟมา 6 อย่างแต่มาแบบคำเดียว ประกอบด้วยสปอนจ์เค้กไข่ มัทฉะเมอแรงก์ ชูครีมมะยงชิด ชีสเค้ก โมจิยูซุ และไอศกรีมนมฮอกไกโด

แน่นอนว่าการรับประทานอาหารให้ครบรสก็ควรจับคู่กับเครื่องดื่มเพื่อช่วยเสริมรสและตัดรสในแต่ละคอร์ส ใครที่ชื่นชอบความเป็นญี่ปุ่นขอแนะนำสาเกแพริ่ง โดยซอมเมอลิเยร์ประจำร้านจะเป็นผู้แนะนำสาเกแต่ละประเภทเพื่อจับคู่กับซูชิแต่ละคำ ส่วนผู้ดื่มสามารถเลือกถ้วยสาเกที่ชื่นชอบเพื่อเพิ่มอรรถรสและความสนุกระหว่างมื้ออาหารอีกด้วย ส่วนใครที่ไม่ถนัดสาเกก็สามารถเลือกจับคู่อาหารกับไวน์ โดยเฉพาะแชมเปญซึ่งถือเป็นอีกทางเลือกการจับคู่ที่เข้ากับซูชิที่สุด