เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ของโลก คนส่วนใหญ่ก็มักจะปรับตัวและเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้เข้ายุคสมัยเช่นกัน เราจึงได้เห็นการวิ่งตามเทรนด์ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม เพื่อเติมเต็มความรู้สึกพึงพอใจให้ตัวเองอย่างไม่สิ้นสุด หนึ่งในการเปลี่ยนลุคที่เห็นผลชัด และรวดเร็วที่สุดนอกเหนือจากการแต่งหน้า ก็คือการเปลี่ยนสีผม ว่าแต่จะเปลี่ยนสีผมแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน หรือจะมุ่งตรงไปหาช่างทำผมดี? ทางเลือกเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันแน่นอน
เมื่อ THE STANDARD สนใจเรื่องนี้ทั้งที ก็ต้องไปล้วงลึกข้อมูลจากช่างผู้เชี่ยวชาญดีกว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้เขียนเดินทางมาที่ Tarra Hair Stylist ซึ่งดูแลโดยกูรูช่างทำผมผู้เชี่ยวชาญการทำผมกว่า 20 ปี ฐา-ขนิษฐา เพชรสังคุณ ที่เปิดเผยสิ่งที่ต้องรู้สำหรับคนอยากทำสีผม รับรองว่ามีประโยชน์และได้ความรู้เกี่ยวกับการทำสีผมมากขึ้นอย่างแน่นอน
เทรนด์สีผม Now & Next
ฐา: ต้องแบ่งออกเป็นในแต่ละทวีปเลยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น ทวีปยุโรป ช่วงนี้เป็นซีซันของฤดูใบไม้ร่วง เทรนด์ทำสีผมของสาวๆ ฝั่งยุโรปก็จะเน้นทำสีโทนน้ำตาลเป็นหลักเพื่อให้เข้ากับฤดูกาล แต่ก็เป็นน้ำตาลที่อิงไปในโทนสีเทา ซึ่งก็จะมีเทคนิคที่ใช้เพิ่มความน่าสนใจให้การทำสีผมที่เรียกว่า บาลายาจ (Balayage) หรือออมเบร (Ombre) เข้ามาช่วยในการไล่เฉดสีผมให้แลดูเป็นสไตล์ของแฟชั่นที่ไล่โทนลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ และผสมผสานไปกับการทำไฮต์ไลต์เฉพาะจุด ส่วนทวีปเอเชียของเราตอนนี้ยังอยู่ในช่วงปี 2019 อยู่ สีที่ฮิตตอนนี้จึงเป็นโทนประกายม่วงต่างๆ เช่น สีน้ำตาลเทาประกายม่วง แต่ต่อไปในปีหน้าคาดว่าสาวไทยน่าจะเริ่มหันมาทำสีผมแบบไล่เฉดเหมือนฝั่งยุโรปมากขึ้น
คนที่อยากทำสีผม จะต้องรู้อะไรบ้าง
ฐา: ข้อแรก ก่อนอื่นคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าอยากทำสีผมเพราะอะไร คุณต้องมีเป้าหมายให้กับตัวเอง บางคนอยากทำเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากเปลี่ยนลุคเป็นคนใหม่ แต่ต้องระวังไม่ให้ขัดแย้งกับไลฟ์สไตล์และตัวตนของตัวเองด้วย อย่างเช่น บางคนเป็นสาวเรียบร้อย อยู่ดีๆ จะมาทำผมสีเขียวไปเลยก็ไม่แนะนำ โดยปกติก่อนทำสีผมให้กับลูกค้าแต่ละคน เราจะ Consult ก่อนทุกครั้ง จะถามก่อนว่าการทำสีผมมีผลกับหน้าที่การงานของแต่ละคนหรือไม่ ต้องให้เขาเช็กตัวเองก่อน แต่ถ้าโอเค บริษัทไม่ว่าอะไรก็สามารถทำสีที่ต้องการให้ได้ แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมกับบุคลิกของแต่ละคนด้วย ทางเราจะไม่ใช่แค่ทำสีผมเท่านั้น แต่จะดูแลเรื่องสไตลิ่ง และเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะสมให้ลูกค้าเสมอ
ข้อสอง ต้องเช็กสภาพเส้นผมว่าผมของตัวเองสามารถทำสีผมตามที่ต้องการได้หรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าสภาพเส้นผมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทั้งขนาดของเส้นผม ความแข็งแรง และการใช้ชีวิตประจำวันส่งผลต่อสภาพเส้นผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนอยากได้สีที่เกินลิมิตของสภาพเส้นผมตัวเองจะรับได้ ก็ต้องบอกเขาตามตรงว่าขอปรับไปเป็นเฉดอื่น ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการทำลายสภาพเกล็ดผมไม่ให้เสียไปมากกว่านี้ เพราะถ้ายอมทำตามใจ มันไม่คุ้มกับการแลกมาด้วยผมเสีย
ข้อสาม หลังการทำสีผมแต่ละครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจะมีการจางของสีผม และคุณต้องรู้ว่ามันจะมีการดึงเนื้อผมมาเยอะมาก ฉะนั้นการฟอกหรือการทำทรีตเมนต์เพื่อการดูแลผมต่อจากนั้นจะมีวิธีดูแลอย่างไร ซึ่งสามารถดูแลสภาพเส้นผมหลังการทำสีด้วยตัวเองก็ได้ แนะนำให้ทำตามคำแนะนำของช่างทำผมที่มีความเชี่ยวชาญ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการบำรุงผมทำสี หรือทางที่ดีที่สุดอีกทางหนึ่งคือให้ผู้เชี่ยวชาญดูแล
การซื้อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมาทำเอง มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ฐา: การซื้อมาทำเองอาจเป็นผลดีในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่าย และมีความสะดวกก็จริง แต่การทำสีผมเปรียบเหมือนการผ่าตัดใหญ่ เพราะต้องมีการเปิดเกล็ดผมออกไปก่อน เหมือนเราทำการผ่าเส้นผมออกมา เพื่อจะใส่สิ่งใหม่ๆ เข้าไป และก็ต้องมีการเย็บปิดแผลให้ดูเนียนเรียบร้อย ซึ่งเปรียบเหมือนการดูแลบำรุงรักษาเส้นผมหลังการทำสีผมนั่นเอง
ดังนั้นการซื้อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมมาทำเอง อย่างน้อยควรจะรู้เรื่องส่วนผสมสักนิด ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแบบที่เป็นโฟม ในนั้นก็จะมีส่วนผสมของความเป็นกรดอยู่ ยิ่งทำลายเกล็ดผม และสารบำรุงก็น้อย บางยี่ห้อก็ไม่ได้ใส่สารบำรุงลงไปเลย ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำสีผมบ่อยๆ ก็ควรรู้ว่าต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำสีผมที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียต่ำที่สุด เพราะแอมโมเนียเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผมเสีย หรือถ้าเป็นไปได้ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำสีผมที่ปราศจากแอมโมเนียไปเลยยิ่งดี ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแอมโมเนียก็อาจจะราคาสูงขึ้น แต่ก็คุ้มค่ากับการรักษาสุขภาพเส้นผมไม่ให้ถูกทำลาย
เชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่ทำสีผมโดยขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องส่วนผสมต่างๆ อย่างลึกซึ้ง บางคนรู้แค่ว่าสีผมเฟด ได้เวลาไปเติมสีใหม่แล้ว โดยไม่คำนึงว่าสีผมที่ร้านทำผมเติมสีให้ มาจากแบรนด์อะไร มีส่วนผสมอะไรบ้าง ต่อให้อ่านเจอชื่อส่วนผสม แต่บางคนก็ไม่รู้ความหมายของมันว่าจะมีผลต่อเส้นผมของเราอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็กระตุ้นเตือนให้สาวๆ ที่ชอบทำสีผม อ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์และหาความรู้เกี่ยวกับมันสักนิด เช่น อย่างน้อยควรจะรู้ว่ายิ่งเห็นตัวเลข % ของแอมโมเนียสูง ก็ยิ่งต้องรู้ว่าเปิดเกล็ดผมเยอะมากขึ้น ผมจึงถูกทำลายมากขึ้น เช่น ถ้ามีการระบุว่ามีส่วนผสมของแอมโมเนีย 50% ยิ่งเสี่ยงต่อผมเสียมากขึ้น
แนะนำผลิตภัณฑ์ทำสีผมที่ไว้ใจได้
ฐา: Tarra Hair Stylist ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ทั้งผลิตภัณฑ์ทำสีผม และการบำรุงผม จะเห็นว่าเราเลือกใช้แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและได้มาตรฐานระดับโลกทั้งจากเอเชียและอเมริกา โดยเฉพาะถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ทำสีผมเราเลือก Pravana เพราะสร้างสรรค์โดย Steve Goddard ผู้ซึ่งมีประสบการณ์โชกโชนในวงการเส้นผมมาแล้วกว่า 30 ปี ตอบโจทย์ให้กับช่างทำผมระดับมืออาชีพทั่วโลก สินค้าของ Pravana ใช้สูตรสมุนไพรจากธรรมชาติที่ดีที่สุด และผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ทำร้ายธรรมชาติ แม้แต่แพ็กเกจของสินค้าก็ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถย่อยสลายได้ ผลิตภัณฑ์ทุกตัวของ Pravana ไม่ว่าจะเป็นแฮร์แคร์ หรือสีผม ก็ไม่มีส่วนผสมของสารกันบูด เพราะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม เวลาเลือกใช้สูตรธรรมชาติจากสมุนไพรจากผลิตภัณฑ์แบรนด์นี้จึงได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และไม่ทำลายโลกของเรา
ภาพ: Courtesy of Tarra Hair Stylist
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- ฐา-ขนิษฐา เพชรสังคุณ Hair Stylist ชื่อดังจาก Tarra Hair Stylist มีประสบการณ์ในวิชาชีพช่างทำผมกว่า 20 ปี เธอเชื่อว่า 90% ของคน ถ้าผมสวย ทุกอย่างก็ดูดี หลังจบหลักสูตรจากโรงเรียนทำผม Khun Cho Beauty School จากนั้นก็เดินสายเก็บเกี่ยวความรู้เพิ่มเติมด้วยการไปเทรนทุกเรื่องเกี่ยวกับการเป็นช่างทำผมที่เกาหลีใต้ ไต้หวัน และได้รับการเทรนจากแฮร์สไตลิสต์ที่ติดอันดับ Top ของญี่ปุ่น จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญตั้งแต่พื้นฐานจนถึงระดับแอดวานซ์ รวมถึงได้ร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ทำสีผมต่างๆ มากมาย เธอได้ร่วมแสดงผลงานแฟชั่นโชว์สีผมในอีเวนต์ใหญ่ Bangkok, the City of Colors by Pravana เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่ผ่านมาอีกด้วย
- Tarra Hair Stylist ตั้งอยู่ที่ซอยลาดพร้าว 122 กรุงเทพฯ โทร. 08 6361 8054