×

เกิดอะไรขึ้นที่ไต้หวัน-สิงคโปร์ อะไรคือช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอีก

20.05.2021
  • LOADING...
เกิดอะไรขึ้นที่ไต้หวัน-สิงคโปร์ อะไรคือช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอีก

วันนี้ (20 พฤษภาคม) หลายประเทศกำลังเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไต้หวันและสิงคโปร์เองที่เคยได้รับเสียงชื่นชมจากนานาชาติถึงวิธีการรับมือกับการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพก็กำลังประสบกับปัญหานี้ เกิดอะไรขึ้นที่นั่น อะไรคือช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ติดโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอีก

 

ไต้หวัน เป็นหนึ่งในชาติแรกๆ ที่ประกาศแบนนักท่องเที่ยวต่างชาติแทบจะทันทีที่ทางการจีนรายงานการพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสปริศนาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2019 มีมาตรการที่รัดกุมและเข้มงวดเพื่อจำกัดการเดินทางเข้าไต้หวัน และยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาทางการไต้หวันสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเพียงหลักหน่วยต่อวันเท่านั้น บางวันก็ไม่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ประชาชนเกิดความพึงพอใจในการทำงานของรัฐบาล

 

ไต้หวันพบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 335 รายภายในวันเดียว (17 พฤษภาคม) มีผู้ติดเชื้อเพิ่มกว่า 1,200 รายในช่วง 1 สัปดาห์นี้ ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมสูงถึง 2,260 ราย เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อในช่วงเกือบ 3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เสียชีวิตแล้ว 14 ราย รักษาตัวอยู่ราว 1,400 ราย 

 

แม้จะมีมาตรการตามแนวพรมแดนที่รัดกุม จำกัดการรวมกลุ่มในพื้นที่สาธารณะ ปิดสถานศึกษาชั่วคราว รวมถึงแนะให้มีการสวมหน้ากากนามัย เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ แต่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นในไต้หวันเกิดจากสาเหตุอะไร

 

1. ลดการ์ด ไม่ตรวจหาผู้ติดเชื้ออย่างจริงจัง 

จากความพึงพอใจ อาจแปรเปลี่ยนเป็นความชะล่าใจ รองศาสตราจารย์ Hsien-Ho Lin ประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันเผย โรงพยาบาลหลายแห่งในไต้หวันยุติการตรวจหาและติดตามผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างจริงจัง แม้ผู้ป่วยจะเดินทางเข้ามาพบแพทย์ด้วยอาการมีไข้ ซึ่งเป็นอาการทั่วไปของการติดเชื้อไวรัส อีกทั้งจากการติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย Our World in Data ระบุ ไต้หวันมีอัตราการตรวจหาเชื้อเพียง 10.32 ต่อ 1,000 เท่านั้น เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่มีอัตราการตรวจหาเชื้อสูงถึง 1,309.87 ต่อ 1,000

 

2. ผ่อนคลายมาตรการกักตัว จนเกิดคลัสเตอร์ขนาดใหญ่

ยิ่งไปกว่านั้น ทางการไต้หวันได้ผ่อนคลายมาตรการกักตัวให้กับบรรดานักบินที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน จากเบื้องต้น 14 วัน กลายเป็น 5 วัน และเหลือเพียง 3 วัน หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดคลัสเตอร์ที่เชื่อมโยงกับนักบินสายการบิน China Airlines ที่พักอยู่ที่ Novotel ใกล้กับสนามบิน Taoyuan Airport ซึ่งผู้ที่เกี่ยวโยงกับคลัสเตอร์นี้ตรวจพบการติดโควิด-19 กลายพันธ์ุ สายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในสหราชอาณาจักร (B.1.1.7) 

 

ก่อนที่จะแพร่ระบาดในย่านสถานบันเทิงของไต้หวันในเวลาต่อมา กลายเป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ในวงกว้าง อีกทั้งยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ปกปิดไทม์ไลน์และไม่เต็มใจที่จะระบุว่าตนเดินทางไปยังย่านสถานบันเทิงดังกล่าว ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้เกิดความยากลำบากในการติดตาม

 

ทางด้าน รศ.อเล็กซ์ คุก ประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ระบุว่า สถานการณ์ในไต้หวันคือภาพสะท้อนความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากยุทธศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับการคุมเข้มตามแนวพรมแดนมากจนเกินไป และไม่มีมาตรการเพียงพอที่จะป้องกันการแพร่ระบาดภายในชาติของตนได้

 

ขณะที่ สิงคโปร์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องกฎระเบียบและความเข้มงวดของมาตรการรับมือโควิด-19 ในย่านอาเซียน แม้จะอยู่ในช่วงที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในสิงคโปร์จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำก็ตาม ทางการจำกัดการรวมกลุ่มในพื้นที่สาธารณะได้ไม่เกิน 8 ราย พร้อมสั่งปิดคลับและสถานบันเทิงต่างๆ ชั่วคราว 

 

การบริหารจัดการในสนามบินมีช่องโหว่ ส่งผลให้เกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ ที่มีส่วนเกี่ยวโยงกับสนามบิน Changi Airport มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอย่างน้อย 248 รายในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 61,651 ราย เสียชีวิตแล้ว 31 ราย รักษาตัวอยู่ราว 500 ราย 

 

ทางการระบุว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่สนามบินที่ทำงานในพื้นที่ที่ต้องเกี่ยวโยงกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงที่พบการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในแถบเอเชียใต้ อีกทั้งเจ้าหน้าที่บางรายก็เดินทางไปรับประทานอาหารยังศูนย์อาหารในสนามบินที่เปิดต้อนรับประชาชนทั่วไป ส่งผลให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อมากยิ่งขึ้นไปอีก จนทางการสิงคโปร์มีคำสั่งห้ามประชาชนทั่วไปเข้าไปยังบางพื้นที่ในสนามบิน และแยกพื้นที่สำหรับเจ้าหน้าที่และผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงอย่างชัดเจน ก่อนที่จะตรวจพบผู้ติดโควิด-19 กลายพันธ์ุ สายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในอินเดีย (B.1.6.1.7) 

 

โดยนักวิชาการด้านสาธารณสุขยังเชื่อว่า สิงคโปร์ยังอยู่ในจุดที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้อีกครั้ง พร้อมชี้ว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสิงคโปร์เป็นฮับทางด้านการค้าที่สำคัญ การปิดพรมแดนประเทศอย่างสมบูรณ์อย่างเช่นจีนจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก 

 

ทั้งไต้หวันและสิงคโปร์ต่างกำลังเผชิญปัญหาเดียวกันคือ วัคซีนมีไม่เพียงพอต่อการฉีดให้กับพลเมืองในประเทศ อีกทั้งพลเมืองบางส่วน โดยเฉพาะในไต้หวันก็ยังคงไม่มั่นใจหรือยังมีคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐจัดหามาให้อยู่

 

ทางการไต้หวันอนุมัติการใช้วัคซีนโควิด-19 จาก AstraZeneca แล้ว ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว ยังไม่ถึง 2.5 แสนโดส มีชาวไต้หวัน 32,389 ราย เข้ารับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส (16 พฤษภาคม) หรือคิดเป็น 0.1% จากประชากรทั้งหมด 23.82 ล้านราย ขณะที่สิงคโปร์อนุมัติการใช้วัคซีนโควิด-19 จาก Pfizer และ Moderna แล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ที่ผ่านมา ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว 3.41 ล้านโดส (17 พฤษภาคม) ชาวสิงคโปร์ราว 1 ใน 3 เข้ารับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส ขณะที่ราว 24.6% หรือเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด 5.85 ล้านรายเข้ารับวัคซีนครบโดสแล้ว 

 

การตั้งการ์ดให้มั่น เตรียมวิธีการรับมือหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นและระเบียบวินัยให้กับประชาชนและทุกภาคส่วนในสังคมถือเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะในยุค New Normal ที่รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไป ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง:

 

ภาพ: Ceng Shou Yi / NurPhoto via Getty Images

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising