×

Sweet Tooth กับโลกพังๆ ที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลานในวันที่งบประมาณสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลลดลงเกือบครึ่ง

17.06.2021
  • LOADING...
Sweet Tooth

HIGHLIGHTS

  • ภาพวันสิ้นโลกใน Sweet Tooth ไม่ได้ดูหม่นเศร้าหนาวเหน็บเหมือนอย่างเรื่อง The Road (2009) หรือแห้งแล้งไร้ร้างผู้คนหลังสงครามนิวเคลียร์อย่าง Mad Max แต่ยังมีความใกล้เคียงกับโลกปัจจุบัน
  • สิ่งที่ทำให้โลกล่มสลายไม่ใช่ดาวหางจากอวกาศ แต่คือมนุษย์ด้วยกันนี่เอง โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมในขณะที่คนรุ่นใหม่เกิดมาเจอกับโลกพังๆ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
  • ตัวละคร ‘แบร์’ ก็ได้สะท้อนมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมที่ไม่ใช่แค่เฉพาะมนุษย์ด้วยกัน แต่กับสิ่งชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นด้วย อย่างไฮบริดในเรื่องก็สามารถตีความหมายถึงสัตว์ทดลองได้เหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันจริยธรรมในเรื่องนี้มีส่วนสำคัญมากกับแบรนด์ที่จะคว้าใจคนรุ่นใหม่ 

*หมายเหตุบทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน 

 

ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ยินชื่อ Sweet Tooth และได้เห็นความน่ารักของ ‘กัส’ ตัวละครครึ่งคนครึ่งกวาง ก็พานให้คิดว่าเป็นซีรีส์แฟนตาซีสำหรับเด็ก แต่พอเปิดดูครบทั้ง 8 ตอน เข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ได้เด็กอย่างที่คิด แถมแฝงนัยบางอย่างเอาไว้ เรียกว่าถ้าดูเอาสนุกตื่นเต้นก็ได้ แต่มองให้ลึกลงไป ซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เห็นมากกว่าเรื่องโรคระบาด แต่เป็นมุมมองที่แตกต่างของเจเนอเรชันและประเด็นสิ่งแวดล้อม

 

Sweet Tooth สร้างจากการ์ตูนคอมิกของ เจฟฟ์ เลอไมร์ โดยสำนักพิมพ์ DC/Vertigo ที่มักจะเสนอเรื่องราวในโทนดาร์กๆ นอกเหนือจากเรื่องซูเปอร์ฮีโร่ ว่าง่ายๆ ก็คือการ์ตูนสำหรับผู้ใหญ่ จึงมักแฝงเนื้อหาซีเรียสๆ แฝงปรัชญาเข้าไปในการ์ตูนได้ด้วย โดยเรื่องนี้เล่าถึงเหตุการณ์ที่อารยธรรมมนุษย์กำลังจะล่มสลายด้วยไวรัสลึกลับที่กำลังแพร่ระบาดคร่าชีวิตมนุษยชาติ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเด็กเกิดใหม่ครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่ถูกเรียกว่า ‘ไฮบริด’ ทำให้ผู้คนหวาดระแวงว่านี่อาจจะเป็นต้นตอของเชื้อไวรัสไล่เข่นฆ่าไฮบริด ทำให้พ่อของ ‘กัส’ (คริสเตียน คอนเวรี) เด็กชายครึ่งคนครึ่งกวางต้องพาเขาหลบหนีไปใช้ชีวิตอยู่ในป่า เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี กัสเริ่มสงสัยถึงชาติกำเนิดของตัวเองจึงออกเดินทางหาแม่ โดยมี ‘เจพเพิร์ด’ หรือพี่เบิ้ม (นอนโซ แอนโนซี) ชายเร่ร่อนอดีตนักอเมริกันฟุตบอล ผู้มีอดีตอันหม่นเศร้าคอยช่วยเหลือจากการไล่ล่าของกองกำลัง ‘ลาสต์แมน’ ของนายพลดักลาส แอบบอต (นีล แซนดิแลนด์ส

 

 

การผจญภัยครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ ‘แบร์’ (สเตฟาเนีย ลาวี โอเวน) ผู้นำของ Animal Armies กองทัพผู้พิทักษ์ไฮบริด และกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกร่วมผจญภัยในวันสิ้นโลกไปด้วยกัน นอกจากนี้ Sweet Tooth ยังมีอีกสองเส้นเรื่องคือเรื่องของนายแพทย์สิงห์ (อาดีล อักห์ทาร์) ผู้ทำทุกวิถีทางให้ภรรยาหายจากโรคลึกลับที่เกิดจากเชื้อไวรัส และ เอมี่ (ดาเนีย รามิเรซ) อดีตนักจิตวิทยาที่ได้เรียนรู้ความเป็นแม่จากการเป็นแม่อุปถัมป์ของเด็กสาวไฮบริด และกลายเป็นเจ้าของศูนย์พักพิงให้กับพวกไฮบริด โดยเส้นเรื่องทั้งหมดมาบรรจบกับในตอนจบของซีซันแรกนี้

 

 

ภาพวันสิ้นโลกใน Sweet Tooth ไม่ได้ดูหม่นเศร้าหนาวเหน็บเหมือนอย่างเรื่อง The Road (2009) หรือแห้งแล้งไร้ร้างผู้คนหลังสงครามนิวเคลียร์อย่าง Mad Max แต่ยังมีความใกล้เคียงกับโลกปัจจุบัน เพียงแต่ธรรมชาติเริ่มคืบคลานเข้าสู่เมืองหลังจากมนุษย์ลดลงไปเกินครึ่งจากโลกนี้ โดยทีมงานได้ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพื่อให้ภาพวันสิ้นโลกแง่บวกผ่านมุมมอง ที่มีความหวังของตัวละครกัส ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากเวอร์ชันคอมิกที่ให้อารมณ์ดาร์กหม่นกว่า

 

“ไฮบริดคือวิธีทำให้โลกอยู่รอด ดูสิก่อนเกิดไวรัส โลกกำลังจะตาย มนุษย์ พวกผู้ใหญ่ ได้ทำลายโลกเพื่อตอบสนองความต้องการที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง ไม่เหลืออะไรไว้ให้เราเลย รู้ไหมว่าก่อนไวรัสจะระบาด น้ำไม่ได้เป็นสีฟ้านั่นเพราะพวกเขาทิ้งขยะเต็มไปหมด ท้องฟ้าก็ด้วย แต่เมื่อเด็กอย่างนายเกิดขึ้นมา โลกก็เริ่มพื้นตัว นายอยู่ได้โดยไม่ต้องฉกฉวย นายทำให้โลกอยู่รอดต่อไป” แบร์ผู้นำ Animal Armies พูดกับกัส สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ทำให้โลกล่มสลายไม่ใช่ดาวหางจากอวกาศ แต่คือมนุษย์ด้วยกันนี่เอง โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าที่ยังไม่ตระหนักถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมในขณะที่คนรุ่นใหม่เกิดมาเจอกับโลกพังๆ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ 

 

ส่วนไฮบริดตามความคิดเห็นของผู้เขียนคือคนในอีกเจเนอเรชันต่อไปที่เกิดมาพร้อมจะดำรงอยู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืน นอกจากนี้ยังบทสนทนาระหว่างคุณหมอแกลดิส ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสคนแรกกับนายพลแอบบอตที่ตอกย้ำประเด็นนี้ “ตอนนี้ถึงตาของเด็กๆ แล้ว และหน้าที่ของเราคือไม่ไปขวางทางพวกเขา พวกเขาดีกว่าเรา ดีกว่าฉันและก็คุณ พวกเขาคือส่วนที่ดีของเรา ธรรมชาติไม่ต้องการพวกเราแล้ว เราไม่เคยทำอะไรดีๆ ให้ธรรมชาติอยากเก็บเราไว้…พวกเขาเป็นแค่เด็ก พวกเขาจะอยู่ไปอีกนานหลังจากที่พวกเราตายกันหมดไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม”

 

            

 

นอกจากนี้ตัวละครแบร์ก็ได้สะท้อนมุมมองของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมที่ไม่ใช่แค่เฉพาะมนุษย์ด้วยกัน แต่กับสิ่งชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นด้วย อย่างไฮบริดในเรื่องก็สามารถตีความหมายถึงสัตว์ทดลองได้เหมือนกัน ซึ่งในปัจจุบันจริยธรรมในเรื่องนี้มีส่วนสำคัญมากกับแบรนด์ที่จะคว้าใจคนรุ่นใหม่ อีกทั้งทางผู้สร้างเองก็ตั้งใจจะทำให้เหล่าไฮบริดดูมีเลือดเนื้อ มีชีวิต ผ่านแคสติ้งตัวละครกัส เพราะความน่ารักของคริสเตียนทำให้เราอยากเอาใจช่วยพวกไฮบริด แม้บางตัวจะไม่มีความน่ารักเอาเสียเลย อย่างฉากไฮบริดครึ่งคนครึ่งกิ้งก่าในอีพีสุดท้ายที่กำลังขึ้นเขียงถูกชำแหละก็เล่นเอาผู้เขียนรู้สึกหดหู่มากทีเดียว

 

 

ส่วนหนึ่งในความสำเร็จของ Sweet Tooth คือการมาแบบถูกที่ถูกเวลาในสถานการณ์โควิด-19 ยังระบาดทั่วโลก หลายๆ ฉากคือภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจนทำให้คนดูเกิดอาการขันขื่นในโชคชะตา อย่างฉากคนใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง และฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ไปยังทุกสิ่งอย่าที่สัมผัส และที่ตลกร้ายไปกว่านั้นในขณะที่ซีรีส์เรื่อง Sweet Tooth กำลังทะยานขึ้นอันดับ 1 สตรีมมิงทาง Netflix ในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย จังหวะเดียวกับก็มีข่าวว่างบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมของไทยถูกหั่นลงไปกว่า 47% ทั้งที่ขยะแบบ Single Used อย่างหน้ากากอนามัยกำลังล้นโลก 

 

นี่ถ้าวิญญาณพะยูนมาเรียมรู้คงนั่งร้องไห้อยู่ที่ปรโลก แต่ก็เอาเถอะ เราจะคาดหวังอะไรได้ จากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้ที่ยังเสิร์ฟหูฉลามในงานเลี้ยงราชการเมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี่เอง

 

“ผมชื่อดักลาส แอบบอต หรือเรียกผมว่านายพลก็ได้”

 

“คุณมันเหมือนไดโนเสาร์ คุณสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ยังไม่อยากยอมรับความจริง…”

 

บทสนทนาระหว่างเอมี่และนายพลแอบบอตในฉากหนึ่งของอีพีสุดท้ายน่าจะพูดแทนใจของใครหลายๆ คนที่อยากบอกคุณลุงคุณอาในสภา

 

ภาพ: Courtesy of Netflix 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising