×

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ระบุ การเดินหน้าฟ้องก่อนกลับเข้า ตร. เพื่อคืนความยุติธรรมให้ตัวเอง ความปรองดองตำรวจขึ้นอยู่กับนายกฯ

โดย THE STANDARD TEAM
24.06.2024
  • LOADING...

วันนี้ (24 มิถุนายน) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางมาตามนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรณีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า เบื้องต้นทราบว่าฝั่งของ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ขอเลื่อนการนัดไต่สวน โดยจะมาไต่สวนในครั้งหน้า ส่วนที่มาการฟ้องหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณานั้น เนื่องจากผู้ถูกฟ้องได้นำข้อมูลซึ่งอยู่ในสำนวนไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ

 

ทั้งที่ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ มีหน้าที่เป็นเพียงพนักงานสอบสวน สิ่งที่ทำได้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คือการรวบรวมข้อมูล และส่งสำนวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่ได้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน รวมถึงแสดงความคิดเห็นเชิงวินิจฉัยหรือพิพากษาคดี

 

โดยการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาส่งผลทำให้สังคมเชื่อว่าตนเองเป็นผู้กระทำผิดไปแล้ว จึงจำเป็นต้องยื่นฟ้องเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง อีกทั้งที่ผ่านมาเคยมีความเห็นของศาลฎีกาสั่งจำคุกคดีที่มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือวินิจฉัยคดีชี้นำสังคมในลักษณะนี้มาแล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่มีการยอมความหรือไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอน

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีที่ก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า หากได้กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะถอนฟ้องคดีความทั้งหมด แต่กลับยังเดินหน้าฟ้อง พล.ต.ต. จรูญเกียรติ, พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมถึง เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี

 

ระบุว่าไม่ใช่การกลืนน้ำลาย แต่ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง และยืนยันว่าไม่ได้เล่นปาหี่ แต่ขณะนี้คำสั่งที่ให้ตนเองออกจากราชการ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปดำเนินการแก้ไขนั้นยังคงอยู่

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รอให้ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ ดำเนินการแก้ไขตั้งแต่ช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ ผบ.ตร. แล้ว แต่กลับยังเพิกเฉย ในวันนี้จึงจะเดินทางไปร้อง ป.ป.ช. เอาผิดมาตรา 157 กับ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ เพราะคำสั่งดังกล่าวจะต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนก่อน ทำให้คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ส่วนกรณี พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ที่กลับเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว หากยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอำนาจ ก็จะเดินหน้าฟ้องร้องในสัปดาห์หน้าด้วย 

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกูรูที่พยายามออกมาให้คำแนะนำข้อกฎหมายกับอนุกรรมการข้าราชการตำรวจ (อนุฯ ก.ตร.) ว่าคำสั่งของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ นั้นชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งขัดกับคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาที่ถือว่าเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลว่าตามหลักกฎหมายอนุฯ ก.ตร. ไม่มีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องทุกข์ แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ที่มีอำนาจใช้ระบบการไต่สวนฟังความทั้ง 2 ด้าน ไม่เหมือนอนุฯ ก.ตร. ที่ฟังความข้างเดียว จึงต้องไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ ก.พ.ค.ตร.

 

เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ตนเองได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ซึ่งมีอำนาจนำเรื่องเข้าที่ประชุมและพิจารณาได้ ว่าเห็นด้วยหรือไม่ แต่หากนายกรัฐมนตรีเพิกเฉยในการพิจารณา ตนก็จะดำเนินคดีมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กับนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน 

 

ส่วนกรณีคณะกรรมการกฤษฎีกามีมติ 10 ต่อ 0 ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมติดังกล่าวจะทำให้ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับมาทำหน้าที่รอ ผบ.ตร. เลยหรือไม่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ทราบ ขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค.ตร. เพราะถือเป็นศาลปกครองของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีอำนาจชี้ว่าจะให้กลับไปทำหน้าเลยได้หรือไม่

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า แม้ว่าความเห็นของกฤษฎีกาจะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่กฤษฎีกาถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาในคดีอื่นๆ ศาลก็รับฟังความเห็นของกฤษฎีกา พร้อมย้ำว่าอย่าลืมว่าองค์คณะกรรมการกฤษฎีกามีใครบ้าง มีทั้งอดีตประธานศาลฎีกา, อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และปลัดกระทรวงยุติธรรม ฉะนั้นมติ 10 ต่อ 0 ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด

 

ส่วน พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ จะกลับเข้า ตร. เมื่อไร จะกลับหรือไม่นั้น ระบุว่าต้องว่าไปตามกฎหมาย พร้อมบอกว่า “ถ้าวันนี้ยังให้ความยุติธรรมกับตัวเองไม่ได้ แล้วจะให้ความยุติธรรมกับตำรวจและประชาชนได้อย่างไร”

 

เมื่อถามอีกว่าหลายฝ่ายมองว่าเรื่องการกลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีข้อตกลงให้ทุกคนกลับเข้ารับตำแหน่งเหมือนเดิมอยู่แล้ว และจบเหมือนละครแฮปปี้เอนดิ้งใช่หรือไม่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตนเองเป็นคนที่ยึดตามหลักการแบบนี้มานานแล้ว เหมือนในอดีตที่เคยฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่ายึดหลักยุติธรรม ซึ่งครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ตัดแข้งตัดขา และสังคมก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว

 

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ย้อนถามกลับว่า ทำไมถึงไม่เพิกถอนคำสั่งออกจากข้าราชการเสียที ปล่อยให้เป็นรอง ผบ.ตร. ลอยไปลอยมาแบบนี้ ตามหลักแล้วสามารถเข้าประชุม ก.ตร. ได้ แต่ไม่เลือกที่จะทำเพราะถือเป็นการให้เกียรติ พร้อมยืนยันว่า ตนเองยังมีสถานะเป็นรอง ผบ.ตร. อยู่ หากตนเองได้กลับไปจะไปดูคำสั่งให้ออกจากราชการที่มีตำรวจถูกสั่งให้ออกจากราชการ 70-80 นาย ก่อนหน้านี้ว่าเป็นธรรมหรือไม่

 

ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่าหากส่งทั้ง พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ และ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หวังว่าจะปรองดองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรใหญ่ จะปรองดองหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ ซึ่งนายกฯ จะต้องเดินหน้าปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ลอยตัว ถ้านายกฯ ไม่ตัดสินใจ องค์กรก็จะอยู่ไปแบบนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้นำ

 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising