×

Super Bowl LIII นิวอิงแลนด์ VS แอลเอ แรมส์ สงครามแห่งยุคสมัย กับ 17 ปีที่รอคอย

31.01.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MINS READ
  • ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 53 จะแข่งขันกันในช่วงเช้าวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ ตามเวลาประเทศไทย เป็นการพบกันระหว่าง นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ ที่เข้าชิงเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน พบกับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ทีมที่ไม่ได้เข้าชิงมานาน 17 ปี
  • นิวอิงแลนด์ยังคงถูกยกย่องด้วยประสบการณ์และความเก๋าของคู่หู ทอม เบรดี-บิล เบลิชิก ที่จะช่วยให้พวกเขาคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ
  • แรมส์ในปีนี้ถูกมองว่าเป็นทีมที่ครบเครื่องและคาดเดาได้ยาก เนื่องจากเฮดโค้ช ฌอน แม็คเวย์ เป็นผู้กล้าที่มักจะทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด บวกกับเกมรับที่อาจสร้างปัญหาให้กับการปล่อยบอลของทอม เบรดีได้
  • ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองทีมพบกันในซูเปอร์โบวล์ ต้องย้อนกลับไปปี 2002 ซึ่งนิวอิงแลนด์เป็นฝ่ายชนะ พร้อมกับจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ในยุคเบรดี-เบลิชิก แต่ก็เป็นจุดจบของแรมส์ที่ไม่สามารถผ่านเข้าชิงได้อีกเลยจนกระทั่งซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 53 นี้

ในทุกวงการย่อมมีนัดชิงชนะเลิศที่เป็นการตัดสินของยุคสมัย คลื่นลูกเก่าที่เคยสร้างสถิติและประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานย่อมพบเจอกับความท้าทายจากคลื่นลูกใหม่เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า

 

และเป็นอีกครั้งที่การแข่งขันซูเปอร์โบวล์ ศึกชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอล จะถูกใช้เป็นรายการตัดสินผู้ชนะแห่งยุคสมัย เมื่อ นิวอิงแลนด์ แพทริออตส์ ก้าวเข้ามาสู่รอบชิงฯ เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ต้องมาพบเจอกับ ลอสแอนเจลิส แรมส์ ทีมที่ครบเครื่องและเป็นเต็งแชมป์ในช่วงต้นฤดูกาลปกติที่ผ่านมา

 

ก่อนที่ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่สนาม Mercedes-Benz Stadium นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ ตามเวลาประเทศไทย เราลองไปสำรวจเส้นทางและความพร้อมของทั้งสองผู้เข้าชิงในปีนี้กัน

 

ทอม เบรดี ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของนิวอิงแลนด์

 

 

“เบรดีชนะเกมนี้ได้เพราะเขามีทั้งสองอย่าง ความยิ่งใหญ่และความเป็นผู้นำ ถ้าเขามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง เขาอาจจะไม่สามารถชนะเกมเมื่อวานได้ เขาชนะเพราะเขามีทั้งสองอย่าง”

 

สตีเฟน เอ. สมิธ ผู้สื่อข่าวดังจากสถานีโทรทัศน์ ESPN กล่าวยอมรับในความยิ่งใหญ่ของ ทอม เบรดี ผ่านรายการ First Take หลังเกมที่นิวอิงแลนด์เอาชนะแคนซัสซิตี้ ชีฟส์ อย่างยากลำบากในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในรอบชิงแชมป์สาย AFC

 

นอกเหนือจากความเป็นผู้นำที่ดี และการเป็นนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่แล้ว ทอม เบรดี คือนักกีฬาที่หลายคนยกย่องว่าสามารถพาทีมรอดจากสถานการณ์ที่เรียกว่า Clutch (ความสามารถในการทำผลงานในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของเกมการแข่งขันเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ)

 

 

หากใครจำซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 52 ได้ ในวันที่ Underdog ฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ พลิกเอาชนะนิวอิงแลนด์ และคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่แล้วไปครอง

 

ด้วยความเจ็บปวด ทอม เบรดี จึงหายไปจากสื่อเป็นเวลาหลายวัน ก่อนจะออกมาโพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

It has taken me a few days to reflect on our SB loss as well as the great season our team had. There are many emotions when you come up short of your goal. And they are all part of learning and growing in this journey of life. Learning turns everything into a postitive. And the number one feeling I have had the past 4 days is gratitude. Gratitude to my teammates for the incredible effort given all season regardless of the challenges we faced. Gratitude toward my coaches for the effort and sacrifice they make to put us players in the best position to win. Gratitude to the NEP organization for supporting us on our very challenging and difficult journey. Gratitude to the Philadelphia Eagles team and organization for bringing out the best in us and being gracious winners (as well as congratulations on winning the championship) Gratitude toward our fans who showed up every week to cheer us on and commit their time and energy and love and support to what our goals are. And gratitude to my family and friends who continue to love and support my dreams. Thank you all. I love you all. Best, Tom

A post shared by Tom Brady (@tombrady) on

 

“หลังจากได้ทบทวนความพ่ายแพ้ในซูเปอร์โบวล์และฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมหลายวันที่ผ่านมา มันมีหลายความรู้สึก โดยเฉพาะเมื่อคุณทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมันคือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้และเติบโตขึ้นในการผจญภัยที่เราเรียกว่าชีวิต”

 

และเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี เบรดีก็สามารถพาทีมกลับเข้าสู่รอบชิงแชมป์สายได้สำเร็จ โดยในเกมรอบชิงแชมป์สาย AFC ก่อนลงสนาม นิวอิงแลนด์ถูกมองว่าเป็นรองด้วยซ้ำ จนกระทั่งเกมนัดชิงหลายครั้งที่เขาเองผิดพลาด ท่ามกลางความแข็งแกร่งของทีมรุกแคนซัสซิตี้ ชีฟส์ ทำให้เกมนี้ต้องถูกตัดสินใจช่วงต่อเวลาพิเศษจากสกอร์ที่เสมอกัน 31-31 แต่สุดท้ายก็เป็นเบรดีที่เปลี่ยนดาวน์สามระยะ 9-10 หลาได้สำเร็จ 3 ครั้งซ้อน จนนำไปสู่ทัชดาวน์คว้าชัยตีตั๋วเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

 

ในแง่การบริหารทีมต้องยอมรับว่า หากไม่มี บิล เบลิชิก ย่อมไม่มีเบรดีที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ กลับกัน หากไม่มีทอม เบรดี บิล เบลิชิกก็คงไม่สามารถพาทีมเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้ต่อเนื่องขนาดนี้เช่นกัน

 

เมื่อถึงเวลาสำคัญ เบรดีคือคำตอบสำหรับแฟนๆ นิวอิงแลนด์ รวมถึงเพื่อนร่วมทีมในสนามที่มักจะมองหาเขาในเวลาที่ยากลำบากที่สุด แต่มาถึงครั้งนี้ เบรดีที่เอาชนะบททดสอบของกาลเวลามาได้ในวัย 41 ปี เขาต้องพบเจอกับบททดสอบของยุคสมัย เมื่ออีกฝั่งของสนามคือหนึ่งในทีมนักกีฬารุ่นใหม่ที่ครบเครื่องที่สุดใน NFL ปีนี้

 

แรมส์ กับความครบเครื่องที่พร้อมท้าทายผู้ยิ่งใหญ่

 

 

ในขณะที่ ทอม เบรดี ก้าวเข้าชิงซูเปอร์โบวล์เป็นสมัยที่ 9 ในวัย 41 ปี ฌอน แม็คเวย์ โค้ชหนุ่มพรสวรรค์สูงของลอสแอนเจลิส แรมส์ เพิ่งมีอายุเพียง 33 ปีเท่านั้น ซึ่งนับเป็นโค้ชที่อายุน้อยที่สุดที่เข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้

 

เช่นเดียวกับ จาเร็ด กอฟฟ์ ควอเตอร์แบ็กของแรมส์ที่มีอายุเพียง 24 ปี ซึ่งน้อยกว่าทอม เบรดี ถึง 17 ปี และนักกีฬาบางส่วนของแรมส์ มีเพียง แบรนดอน คุก, อาคิบ ทาลิบ และ ซี.เจ. แอนเดอร์สัน เท่านั้นที่เคยเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ ขณะที่ในเกมรับยังมี โค้ชเวด ฟิลลิปส์ ที่เคยช่วยเดนเวอร์ บรองโกส์คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 50 มาช่วยคุมทีม

 

ส่วนทีมบุกของแรมส์ก็สามารถทำเกมรุกได้ครบเครื่องมากที่สุดในลีกทีมหนึ่ง ด้วยอาวุธครบมือที่มีไว้ต่อกรกับเกมรับหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ ซี.เจ. แอนเดอร์สัน และ ท็อดด์ เกอร์ลีย์ ที่สามารถวิ่งสลับสร้างแรงกดดันเหมือนนักชกที่ออกหมัด 1-2 สลับเพื่อทำลายจังหวะการ์ดของคู่ชก ส่วน โรเบิร์ต วูด สามารถรับบอลในระยะกลางได้อย่างดีเยี่ยม ขณะที่ระยะยาว แบรนดอน คุก ก็เป็นอีกหนึ่งทีเด็ดที่สร้างโอกาส โดยเขาทำไปแล้ว 5 ทัชดาวน์ในปี 2018

 

 

จุดเด่นทีมรับของแรมส์อยู่ที่ ‘ทีมไล่ล่าควอร์เตอร์แบ็ก’ แอรอน โดนัลด์ ตัวแซ็คสูงสุดของลีก ที่สามารถทะลุแนวบุกของคู่แข่ง และทำไปแล้ว 20.5 แซ็ค สูงที่สุดในลีกปีนี้

แต่หากทีมไล่ล่าควอร์เตอร์แบ็กทะลุแนวตรงกลางเข้าหาเบรดีได้อย่างรวดเร็ว เวลา 2.28 วินาทีก็อาจจะไม่เพียงพอ ซึ่งจุดนี้อาจเป็นตัวชี้วัดผลการแข่งขันในเกมนี้ได้เลย

จากการสำรวจฟอร์มของทั้งสองทีมพบว่า เกมนี้เป็นอีกครั้งที่ทีมมากประสบการณ์และความเก๋าต้องมาพบเจอกับทีมที่ครบเครื่องและเต็มไปด้วยความสดใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาฝ่ายที่สั่งสมประสบการณ์มากกว่ามักเป็นฝ่ายคว้าชัย โดยเฉพาะ ทอม เบรดี ที่หลายคนยกย่องว่าความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ได้มาจากร่างกายที่แข็งแกร่งหรือว่องไว แต่ยังมีมันสมองและประสบการณ์ที่เพิ่มมากขึ้นทุกครั้งที่เขาลงสนาม และด้วยประสบการณ์เข้าชิงมาทั้งหมด 9 ครั้ง ก็คงยากที่จะหาใครเทียบเคียงได้ในเวลานี้

แต่สิ่งที่แรมส์พกมาในครั้งนี้คือ ยุคสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ซึ่งคาดเดาได้ยาก โดยเฉพาะ ฌอน แม็คเวย์ โค้ชหนุ่มพรสวรรค์สูงที่มีความกล้าได้กล้าเสีย จนบางคนเปรียบเทียบเขากับ ดัก ปีเตอร์สัน เฮดโค้ชของฟิลาเดลเฟีย อีเกิลส์ ที่เอาชนะนิวอิงแลนด์ไปในซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 52

 

ผู้ชนะในเกมนี้จะกลายเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญแห่งยุคสมัยของนิวอิงแลนด์ ภายใต้เงาของ ทอม เบรดี และ บิล เบลิชิก เพราะครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองทีมเจอกันในซูเปอร์โบวล์คือปี 2002 หรือประมาณ 17 ปีก่อน

ซึ่งซูเปอร์โบวล์ครั้งนั้น แรมส์คือทีมที่ถูกยกย่องให้เป็น The Greatest Show on Turf จากเกมบุกที่ดุเดือด สนุก และสวยงามที่สุดทีมหนึ่งในลีกในปีนั้น ขณะที่นิวอิงแลนด์ในปีนั้น ทอม เบรดี เพิ่งก้าวขึ้นเป็นควอเตอร์แบ็กตัวจริงได้ เนื่องจากควอเตอร์แบ็กตัวหลักเจ็บ แต่หลังจากที่นิวอิงแลนด์คว้าแชมป์ในปีนั้น แรมส์ก็หายไปจากซูเปอร์โบวล์ ตรงข้ามกับเบรดีที่ประสบความสำเร็จ สามารถคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ 5 สมัย และเข้าชิงแชมป์ครั้งนี้ได้เป็นสมัยที่ 9

 

 

ขณะที่ฝั่งแรมส์เมื่อเวลาผ่านไป 17 ปี พวกเขาก็มาพร้อมกับทีมรุ่นใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า จาเร็ด กอฟฟ์ ควอเตอร์แบ็กวัย 24 ปี กับ ณอน แม็คเวย์ เฮดโค้ชวัย 33 ปี อาจเป็นผู้ที่พาทีมแรมส์กลับมายุติตำนานนิวอิงแลนด์ของทอม เบรดี-บิล เบลิชิกในครั้งนี้

 

ภาพ: Reuters

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising