เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อ โจ ไบเดน ไม่รีรอที่จะลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหาร (Executive Orders) บันทึกความตกลง (Memorandums) และประกาศอื่นๆ (Proclamations) รวม 17 ฉบับ เพื่อเดินหน้ามาตรการและผลักดันนโยบายสำคัญต่างๆ ทันที หลังเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 มกราคม
ไปดูกันว่าคำสั่งต่างๆ เหล่านี้มีอะไรบ้าง
รับมือโรคระบาดโควิด-19
1. ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารแต่งตั้ง เจฟฟรีย์ ดี. ไซเอนต์ เป็นผู้ประสานงานตอบสนองโควิด-19 ซึ่งจะรายงานตรงต่อประธานาธิบดี โดยหวังเร่งควบคุมการแพร่ระบาดให้ลดลง รวมถึงแจกจ่ายวัคซีนให้ประชาชน และส่งมอบอุปกรณ์การแพทย์แก่โรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ยังฟื้นคณะทำงานด้านความมั่นคงทางสุขภาพระดับโลกในสภาความมั่นคงแห่งชาติขึ้นมาอีกครั้ง หลังถูกยุบไปในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์
2. ออกข้อกำหนดให้พนักงานและเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางทั้งหมดรักษาระยะห่างทางสังคม และสวมใส่หน้ากากในสถานที่ทางการ พร้อมให้เริ่มแคมเปญ (ขอความร่วมมือ ยังไม่ใช่ข้อบังคับทั่วประเทศ) ให้ประชาชนทุกคนสวมหน้ากาก และให้เจ้าหน้าที่ระดับรัฐและท้องถิ่นใช้มาตรการสาธารณะเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส
3. กลับมาร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO) หลังคณะบริหารทรัมป์ตัดสินใจนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากการเป็นสมาชิก โดยหลังจากนี้จะให้ ดร.แอนโทนี เฟาชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนของสหรัฐฯ ในบอร์ดบริหารของ WHO
นโยบายผู้อพยพ
4. ไบเดนออกคำสั่งฝ่ายบริหารเดินหน้าโครงการ Deferred Action for Childhood Arrivals (DACA) ต่อไป เพื่อให้ความคุ้มครองแก่เด็กผู้อพยพที่เดินทางมาและอาศัยอยู่สหรัฐฯ ตั้งแต่ยังเด็ก หรือที่เรียกว่ากลุ่ม Dreamers โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์พยายามยุติโครงการดังกล่าว นอกจากนี้คำสั่งดังกล่าวยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสออกกฎหมายให้สถานะพลเมืองถาวรแก่ผู้อพยพเหล่านั้น
5. เพิกถอนแผนการของรัฐบาลทรัมป์ในการกีดกันผู้ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกันออกจากการนับสำมะโนประชากร นอกจากนี้ยังพลิกคำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์จากการใช้มาตรการที่แข็งกร้าวในการค้นหาและขับผู้อพยพผิดกฎหมายออกนอกประเทศ
6. ยุติมาตรการห้ามพลเมืองจากชาติมุสลิมและหลายประเทศในแอฟริกาเดินทางเข้าสหรัฐฯ โดยไบเดนสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศเริ่มกระบวนการพิจารณาออกวีซ่าให้กับบุคคลจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ และหาวิธีแก้ไขความเสียหายอันเกิดจากการห้ามบุคคลเหล่านั้นเข้าประเทศ
7. ยุติการก่อสร้างกำแพงพรมแดนติดกับเม็กซิโก รวมถึงยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติที่เปิดทางให้รัฐบาลทรัมป์จัดสรรงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อมาสร้างกำแพง
8. ระงับการเนรเทศชาวไลบีเรียที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ โดยขยายเวลาให้บุคคลเหล่านี้ทำงานในประเทศต่อได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2022
แก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
9. ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารนำสหรัฐฯ กลับเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีส เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหาโลกร้อนกับนานาชาติ โดยมุ่งลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก และหันไปใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น หลังทรัมป์นำสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าวไปก่อนหน้านี้
10. เปลี่ยนแปลงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมหลายอย่างในยุคทรัมป์ ตั้งแต่การเพิกถอนใบอนุญาตสร้างท่อส่งน้ำมัน Keystone XL, ยกเลิกนโยบายผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยมลพิษของรถยนต์, จัดตั้งคณะทำงานด้านต้นทุนทางสังคมของก๊าซเรือนกระจก, สงวนผืนดินและแหล่งน้ำ 30% ของอเมริกาภายในปี 2030 และปกป้องเขตป่าไม้แห่งชาติอาร์กติกจากการถูกขุดเจาะหาแหล่งน้ำมัน
ด้านความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและ LGBTQ
11. ยกเลิกคำสั่งของทรัมป์ ที่จำกัดความสามารถของหน่วยงานรัฐบาล ผู้รับเหมา และสถาบันอื่นๆ ในการจัดการฝึกอบรมด้านความหลากหลาย
12. ให้ ซูซาน ไรซ์ ประธานสภานโยบายในประเทศ เป็นผู้นำในการผลักดันให้หน่วยงานรัฐบาลทุกแห่งให้ความสำคัญกับการขจัดการเหยียดเชื้อชาติในเชิงระบบ นอกจากนี้ยังสั่งการให้หน่วยงานต่างๆ ทบทวนและรายงานด้านความเสมอภาคภายใน 200 วัน ตลอดจนดำเนินมาตรการให้แน่ใจว่าชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติและเพศสภาพมีความเสมอภาคในการเข้าถึงทรัพยากร ผลประโยชน์ และบริการของรัฐบาล
13. ตอกย้ำความสำคัญของกฎหมายสิทธิพลเมืองข้อ 7 ฉบับปี 1964 ที่กำหนดว่ารัฐบาลต้องไม่เลือกปฏิบัติกับประชาชนบนพื้นฐานของรสนิยมทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
ด้านเศรษฐกิจ
14. ขยายเวลาพักชำระหนี้ก่อนรอนสิทธิทั่วประเทศ และขอให้หน่วยงานต่างๆ ซึ่งรวมถึงกระทรวงเกษตร, กระทรวงการทหารผ่านศึก และกระทรวงการเคหะและพัฒนาเมืองขยายเวลาพักชำระหนี้ก่อนมีการยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ไปจนถึงวันที่ 30 มีนาคมเป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนจากสถานการณ์โรคระบาด
15. ขยายเวลาพักการชำระหนี้และคิดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการศึกษาสำหรับชาวอเมริกันไปจนถึงวันที่ 30 กันยายนเป็นอย่างน้อย
การตรวจสอบรัฐบาล
16. กำหนดให้ผู้ได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งฝ่ายบริหารต้องลงนามให้คำมั่นด้านจริยธรรม เพื่อไม่ให้ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัว และกำหนดให้รักษาความเป็นอิสระในการทำงานของกระทรวงยุติธรรม
17. สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการและงบประมาณ (OMB) ศึกษาและออกข้อเสนอแนะเพื่อทบทวนปรับแก้กฎระเบียบให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงยกเลิกกระบวนการอนุมัติกฎระเบียบในสมัยทรัมป์ เพื่อป้องกันการผ่านนโยบายแบบฉุกละหุก ซึ่งบ่อยครั้งมักทำให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมสูญเสียโอกาสในการทบทวนนโยบายต่างๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ภาพ: Jim WATSON / AFP
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: