กระแส K-Pop นั้นฮิตติดลมบนมานาน เช่นเดียวกับแวดวงอาหารที่มีร้านอาหารเกาหลีเปิดใหม่ประชันอาหารญี่ปุ่นกันแทบทุกเดือน แถมตอนนี้บาร์เกาหลียังเริ่มเข้าชิงพื้นที่ไนต์ไลฟ์ชาวกรุงด้วยเช่นกัน แต่หากพูดถึงบาร์เกาหลีหลายคนคงนึกถึงไก่ทอด โซจู และเพลย์ลิสต์แดบักทั้งหลาย แต่ถ้าให้นึกถึงบาร์ที่ไม่ได้มีเพียงโซจูกับมักกอลลี แต่ยังมีค็อกเทลที่ทำจากเหล้าแดนโสมด้วยล่ะ?
กระจกกลมตั้งเด่นอยู่กลางร้านแบบไม่พลาดสายตา
The Vibe
Sul (ซูล) แกสโทรบาร์เกาหลีทำเลไม่ไกลจากปากซอยทองหล่อ 10 บนชั้น 2 ของอาคาร The Third Place (ตึกเดียวกับ Violett) เกิดขึ้นจากเพื่อน 5 คนที่ครั้งหนึ่งเคยย่ำราตรีที่ย่าน K-Town ในนิวยอร์กกันบ่อยๆ พวกเขาจึงถ่ายทอดความชอบกินดื่ม ภายใต้คอนเซปต์ Deconstruct และ Reconstruct นำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาจำแนกและสังเคราะห์รายละเอียด จากนั้นประกอบสร้างขึ้นใหม่ให้ดียิ่งกว่าเดิม จนเกิดเป็นร้านบาร์เกาหลีล้ำๆ เช่น Sul นี่เอง สังเกตได้ตั้งแต่โลโก้ร้านที่คล้ายขวดเหล้า และยังมีคำภาษาเกาหลีซ่อนอยู่ รวมถึงปากทางเข้าร้านที่เป็นกรอบไฟแอลอีดีเหมือน floating box ให้ความรู้สึกล้ำยุคและน่าค้นหาว่าจะมีอะไรซ่อนอยู่หลังบานประตูสีดำลึกลับนี้
บรรยากาศที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบาร์เกาหลีฮิปสไตล์ชาวเมืองนิวยอร์ก
ตัวร้านโดดเด่นตั้งแต่ผนังกำแพงฝังลอนกระเบื้องแบบเดียวกับหลังคาบ้านสไตล์ดั้งเดิมของเกาหลี เพิ่มรอยแตกให้ดูเหมือนว่าเบื้องหลังกำแพงมีอะไรซ่อนอยู่ Sul แบ่งพื้นที่เป็น 3 โซน ตรงกลางซึ่งเป็นจุดแรกที่พบเมื่อเดินเข้าร้านคือไฮแอเรีย บาร์สูงที่จะนั่งหน้าค็อกเทลบาร์ ยืนกินดื่ม หรือเดินไปมาได้ตามอัธยาศัย ถัดไปทางซ้ายมีม่านผ้าบางกั้นแบ่งแยกโซน เป็นพื้นที่นั่งกินดื่มสำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว ส่วนขวามือเป็นโซนกินดื่มที่มีความสบายตัวขึ้นมาหน่อย มู้ดแอนด์โทนของร้านนั้นน่าสนใจตรงที่ รู้สึกว่าเปลี่ยนทุก 2 ชั่วโมง จากโทนอุ่นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโทนเย็น และจังหวะเพลงที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข็มนาฬิกาเข้าใกล้เลข 12
ก่อนจะมาเป็นแซงเกรียแบบแดนโสม
The Drinks
ด้วยความที่เป็นแกสโทรบาร์เกาหลี จะมาที่นี่แล้วสั่งโซจูดื่มอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว เพราะค็อกเทลเกือบทั้งหมดของที่นี่ใช้เหล้าเกาหลีเป็นเบส ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นโซจู เหล้าโสม มักกอลลี สาโท และอินฟิวส์แอลกอฮอล์ต่างๆ ก็ต้องมาเต็ม แถมบางแก้วยังได้ก้าวข้ามพรมแดนค็อกเทลไปแตะโลกอาหารได้อย่างน่าสนใจอีกด้วย เราชวนไปย่ำแดนโสมในกรุงเทพฯ กันด้วย Plum Yoghurt (350 บาท) ค็อกเทลที่ได้ไอเดียมาจากโซจูโยเกิร์ตซึ่งเป็นที่นิยมในเกาหลี โดยนำไปพลิกแพลงเพิ่มลูกเล่นด้วยการผสมยาคูลท์เข้าไปด้วย ส่วนโยเกิร์ตก็ไม่ใช่แค่โยเกิร์ตทั่วไป แต่เป็นเหล้าโยเกิร์ตที่ให้รสชาติหอมหวานและยังดื่มง่าย
Blowing Bubbles เกรปฟรุตโซจูผสมเหล้าจินที่หน้าตาโดดเด่นจริงๆ
ตามติดด้วย Blowing Bubbles (350 บาท) เกรปฟรุตโซจูผสมเหล้าจิน เพิ่มรสชาติด้วยน้ำแครนเบอร์รีกับน้ำมะนาว คนที่ชอบเครื่องดื่มรสเปรี้ยวหวานคงติดใจ กิมมิกประจำแก้วนี้เป็นฟองที่พองขึ้นตลอดเวลาด้วยเทคนิคพิเศษ เอาใจสายชอบแชะภาพลงอินสตาแกรมเอามากๆ แต่รับประกันว่ากินได้หายห่วง ส่วนตอนจิบอย่ารีบร้อน เดี๋ยวฟองจะเข้าจมูก เราเตือนคุณแล้วนะ
Sansachun Sangria แซงเกรียจากเหล้าสาโทที่ทำจากข้าว
และ Royal Lemon Drop ปิดหน้าด้วยวานิลลาโฟม
ปกติแล้วเหล้าเกาหลีจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากเท่าไร แต่สำหรับ Royal Lemon Drop (350 บาท) แก้วนี้ ใช้โซจูพรีเมียมที่มีความแรงแอลกอฮอล์ระดับ 24% ผสมกับสาเกส้มยูซุแบบเจลลี แล้วปิดหน้าด้วยวานิลลาโฟมที่ถูกทำให้ไหม้นิดๆ ให้มีกลิ่นและสัมผัสคล้ายกับมาร์ชเมลโล แก้วนี้รสออกเปรี้ยวสมชื่อ หรือจะเป็นสาโทเกาหลีที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยไม่แพ้กัน บาร์เทนเดอร์เลยจับมาทำแซงเกรียเสียเลยจนออกมาเป็น Sansachun Sangria (350 บาท) แซงเกรียที่เบสด้วยเหล้าสาโทที่ทำจากข้าว แล้วผสมเหล้าพีชกับโซจู เสิร์ฟในแก้วไวน์พร้อมผลไม้ชิ้นเล็ก หน้าตาคล้ายแซงเกรียจากไวน์ขาวและให้รสชาติผลไม้อบอวลสดชื่น พร้อมให้สนุกตลอดคืน
อยากเป็น Last Man Standing ไหมล่ะ?
โสม พระเอกเก๋ากึ้กอันเป็นพืชอายุวัฒนะที่เราได้ยินกันบ่อย โดยเฉพาะยุค 2000 ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรประกอบอาหารและยาที่ขึ้นชื่อของเกาหลี และในที่สุดก็ได้มาอยู่ในค็อกเทลอย่าง Last Man Standing (350 บาท) กับเขาบ้างแล้ว ค็อกเทลที่ใช้เหล้าโสมเกาหลีเป็นส่วนผสมหลัก ตามด้วยรัมและเหล้ารสนมๆ อย่างคาลัว เพิ่มรสหวานหอมด้วยนำ้เชื่อมวานิลลา ช่วยชูกลิ่นโสมให้เด่นยิ่งขึ้น
รสชาติซอสเนื้อบูลโกกิแปลงมาเป็นค็อกเทลจะเป็นอย่างไรนะ?
หากคุณเป็นคนชอบคลาสสิกค็อกเทลแต่อาจจะอยากลองอะไรใหม่ๆ ที่ไม่หวือหวานอกกรอบจนเกินไป ที่นี่ก็มี Savory Cocktail ที่นำโลกของเหล้ามาบรรจบกับอาหารได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะ Bulgogi Old-Fashioned (350 บาท) เครื่องดื่มที่ชูโรงคลาสสิกค็อกเทลให้มีลูกเล่นด้วยการนำซอสเนื้อบูลโกกิมาทำแฟตวอช (Fat-Washing เทคนิคการขจัดไขมันออกจากอาหาร แต่ยังคงเอาไว้ด้วยกลิ่น) ผสมกับเหล้าเบอร์เบินแล้วรมควัน ให้ได้กลิ่นซอสเนื้อนำ แก้วนี้มีทั้งรสเค็มหวาน ถือเป็นค็อกเทลที่จับคู่อาหารคาวมาใส่แก้ว เป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารมาเสิร์ฟได้อย่างเหมาะเหม็ง ก่อนดื่มอย่าลืมกินดาร์กช็อกโกแลตที่มาคู่กันก่อน แล้วค่อยจิบตาม วิธีนี้จะยิ่งเสริมรสให้ค็อกเทลอร่อยขึ้นเป็นทวีคูณ
รีซอตโต้ใส่กิมจิ ท็อปด้วยแผ่นชีสพาร์เมซานกรอบกร้วม
The Dishes
และบาร์นี้ไม่ได้มีแต่เครื่องดื่มอย่างเดียวเสียเมื่อไร ในเมื่อคนเกาหลีจริงจังเรื่องการกินกันขนาดนี้ด้วยแล้ว อย่าได้พลาดลองอาหารเด็ดขาด และเราขอบอกว่าหากคิดว่ามาบาร์สไตล์เกาหลีแล้วจะมีแต่ไก่ทอดหรือเฟรนช์ฟรายส์ เราบอกเลยว่าคิดผิด เพราะ Sul จริงจังกับเรื่องอาหารไม่แพ้ค็อกเทล ด้วยประสบการณ์ ไอเดีย และกลิ่นอายเกาหลี ทางร้านจึงได้สร้างสรรค์เมนูอาหารที่จะกินกับค็อกเทลก็ดี หรือดินเนอร์จริงจังก็ไม่เลว แม้จะไม่ใช่สไตล์เกาหลีจ๋าๆ แต่ก็ยังคงเป็นรสชาติที่คุ้นเคย และหน้าตาช่างยั่วน้ำลายซะเหลือเกิน
Liquid Gold Tteok ต๊อกบกกีที่ปิดทับผิวหน้าด้วยทรัฟเฟิลชีสโฟม เสิร์ฟคู่กับไข่แดงสุดล้ำ
K-Poutine (250 บาท) เมนูลูกครึ่งแคนาดา เกาหลี สิ่งที่เรียกว่า Poutine นี้มีถิ่นกำเนิดจากแถบควิเบก (Quebec) โฮมเมดเฟรนช์ฟรายส์ราดน้ำเกรวี่และชีสเคิร์ด เชฟเพิ่มความเคป๊อปให้กับเมนูนี้ด้วยกิมจิกับสแปม แฮมกระป๋องที่ชาวเกาหลีนิยมรับประทาน ซึ่งเมนูนี้ใช้แฮมสแปมชนิดผลิตที่เกาหลี เพื่อให้ได้รสชาติเกาหลีแท้ๆ ด้านบนเฟรนช์ฟรายส์กับแฮมสแปมราดด้วยน้ำเกรวี่ที่ได้จากการเคี่ยวเนื้อ ท็อปด้วยกิมจิ และรายล้อมด้วยชีสเคิร์ด กินแกล้มโซจูหรือค็อกเทลก็ได้ทั้งนั้น
Pork Belly Injeolmi หมูสามชั้นตุ๋นกับเมเปิลไซรัป โรยด้วยกากหมูอีกที
จานต่อมาเป็นสตรีทฟู้ดเกาหลีที่ผ่านการอัปเกรดให้ดูไม่ธรรมดา กับ Liquid Gold Tteok (230 บาท) ต๊อกบกกีที่ปิดทับผิวหน้าด้วยทรัฟเฟิลชีสโฟม กลางจานเป็นไข่แดงที่ผ่านกรรมวิธีสเฟียริฟิเคชัน (Spherification) ทำให้ไข่แดงเกาะตัวเป็นก้อนกลมด้วยเยื่อเมมเบรนบางใสอันเป็นเทคนิคการทำอาหารแบบโมเลคูลาร์ (Molecular) ที่พบตามร้านไฟน์ไดนิ่งทั้งหลาย ก่อนจะลงมือแย่งกินให้เจาะไข่แดงให้แตกก่อน แล้วคลุกให้เข้ากับต๊อก
ไข่โมเลคูลาร์และ K-Poutine
Pork Belly Injeolmi (350 บาท) แว่บแรกที่เห็นชื่อเมนูก็แอบตกใจว่าเจ้าก้อนแป้งที่อยู่ในของหวานจะเอามาทำอาหารได้อย่างไร จนกระทั่งมาเสิร์ฟถึงโต๊ะ เชฟจับคู่อินจอลมีกับหมูสามชั้น ทำให้เวลาเคี้ยวจะได้ทั้งความมัน หนึบ เหนียว แบบเต็มปากเต็มคำ ส่วนหมูสามชั้นก็ไม่ธรรมดา เพราะนำไปตุ๋นกับเมเปิลไซรัปเพิ่มความหอมหวาน ใส่กระเทียมและขิงในหม้อแรงดันสูง จนได้สัมผัสนุ่มลิ้น กินคู่กับไชเท้าดองและซอสสี่อย่าง (ครีมสาหร่าย ทรัฟเฟิลมาโย พิวเร่หอมใหญ่เผา และรีดักชันซอสรสเข้มที่ได้จากการตุ๋นหมูสามชั้น) เพิ่มรสสัมผัสด้วยกากหมูกรุบกรอบสีน้ำตาลที่โรยอยู่รอบจาน
Kimchi Risotto
ถ้ายังอยากได้ข้าวมาเพิ่มความอิ่ม แนะนำ Kimchi Risotto (320 บาท) ผสมผสานระหว่างอาหารอิตาเลียนกับเกาหลีตรงตามชื่อเมนูเลยทีเดียว เพราะเป็นรีซอตโต้ใส่กิมจิ ท็อปด้วยแผ่นชีสพาร์เมซานกรอบๆ ที่จะช่วยเพิ่มความหอมมันให้กับข้าวจานนี้ยิ่งกว่าเดิม
นั่งไปเพลินๆ อาจเผลอนึกว่าอยู่แดนกิมจิโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
What You Should Know
- ชื่อร้าน Sul เป็นภาษาเกาหลี มีความหมายว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- Poutine อาหารสัญชาติแคนาดา มีถิ่นกำเนิดจากเมืองควิเบก (Quebec) เป็นเฟรนช์ฟรายส์ราดน้ำเกรวี่และชีสเคิร์ด
- Spherification คือหนึ่งในเทคนิคการทำอาหารแบบโมเลคูลาร์ที่เรามักพบตามร้านไฟน์ไดนิ่ง โดยเป็นการทำให้ของเหลวจับตัวเป็นก้อนโดยการสร้างสเฟียร์ด้วยสารประกอบเคมีที่รับประทานได้อย่างแคลเซียมแลคเตท และโซเดียมอัลจิเนต
- Fat-Washing เทคนิคที่เริ่มจะพบเห็นในค็อกเทลรุ่นใหม่ เป็นการแต่งกลิ่นและรสให้กับเหล้าด้วยน้ำมันหรือของเหลวที่เบสด้วยน้ำมัน ทำได้โดยการใส่ของเหลวที่เบสด้วยน้ำมันที่ต้องการจะให้มีกลิ่นและรสลงในไปเหล้าที่อุณหภูมิห้อง ปล่อยทิ้งไว้จนเกิดการแยกชั้นแล้วจึงนำเหล้าไปแช่จนกระทั่งไขมันเกาะตัวเป็นก้อน จากนั้นตักไขมันออกทั้งหมด ก็จะได้เหล้าอินฟิวส์ที่มีกลิ่นและรสตามที่ต้องการ
Sul
Open: เปิดวันจันทร์, พุธ-อาทิตย์ เวลา 17.00-1.00 น. (ปิดวันอังคาร)
Address: 137 ซอยทองหล่อ 10 สุขุมวิท 55 คลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
Budget: 500-800 บาท
Contact: โทร. 09 5795 5396
Page: www.facebook.com/SulBkk
Map:
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์