Subway เชนฟาสต์ฟู้ดแซนด์วิชชื่อดังจากสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนสาขากว่า 42,000 แห่งในกว่า 100 ประเทศ มีอันต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจเข้าอย่างจัง เมื่อ CNN รายงานว่าตลอดทั้งปี 2018 ที่ผ่านมา พวกเขาต้องทยอยปิดสาขาในสหรัฐอเมริกามากกว่า 1,000 แห่ง เนื่องจากประสบปัญหา
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ Subway ต้องจำใจปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจด้วยการลดจำนวนสาขาครั้งใหญ่เพื่อให้บริษัทยังทำกำไรและก้าวต่อไปข้างหน้าได้ เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้อาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดได้รับความนิยมน้อยลงจนเชนฟาสต์ฟู้ดหลายแห่งต้องปรับตัวด้วยการออกเมนูใหม่ๆ มาเอาใจคนรักสุขภาพอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ถึงจะมีการเปิดเผยตัวเลขสาขาที่ Subway ปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว แต่กลับไม่มีการเปิดเผยจำนวนสาขาใหม่ที่ Subway เลือกเดินหน้าเปิดให้บริการแต่อย่างใด โดยข้อมูลล่าสุดอ้างอิงจากเว็บไซต์พบว่าพวกเขามีจำนวนสโตร์ในสหรัฐอเมริกามากกว่า 24,342 แห่ง เทียบเท่ากับสัดส่วนราว 58% ของจำนวนหน้าร้านที่มีทั่วโลกทั้งหมด
ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว Subway เคยเปิดเผยถึงแนวการปรับปรุงดีไซน์ร้านโฉมใหม่เพื่อให้ดูทันสมัยมากขึ้น ทั้งการเพิ่มตู้ Kiosk สั่งอาหารด้วยตัวเอง, เพิ่มช่องเสียบ USB และปล่อยสัญญาณ WiFi ให้ลูกค้าใช้งานได้ฟรีเพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหารายได้และกำไรของบริษัทตกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และสร้างประสบการณ์การใช้บริการร้าน Subway ให้กับผู้บริโภคเสียใหม่ แต่ดูเหมือนว่าแนวทางดังกล่าวอาจจะไม่ใช่การปล่อยหมัดเข้าเป้าเท่าที่ควร
นอกจากนี้เมื่อเทียบในเชิงมูลค่าแบรนด์จะพบว่าในปี 2018 ที่ผ่านมา ถึงแม้ Subway จะมีจำนวนสาขาสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่กลับมีมูลค่าโดยรวมที่ 18,766 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เป็นรองแบรนด์อย่าง McDonald’s ที่มีสาขาน้อยกว่าที่ 36,000 แห่งทั่วโลก แต่มีมูลค่าแบรนด์นำเป็นอันดับหนึ่งที่ 126,044 ล้านเหรียญสหรัฐ แสดงให้เห็นว่าการมีจำนวนสาขามากไม่ได้หมายความว่า Subway จะได้เปรียบเหนือคู่แข่งเสมอไป
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
