×

จัดพอร์ตหุ้นรับการเลือกตั้ง! สถิติชี้ SET มีโอกาสวิ่งขึ้น 6-7% โบรกชูกลุ่มธนาคารและค้าปลีก

10.01.2023
  • LOADING...

กระแสของการเลือกตั้งครั้งที่ 29 ของไทยเริ่มชัดเจนมากขึ้น หลังเริ่มมีการเคลื่อนไหวของทั้งพรรคการเมืองและนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนโยบาย การย้ายสังกัดพรรค ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งมักจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยไม่มากก็น้อย 

 

ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า จากสถิติในอดีตนับแต่ปี 2535 มีการเลือกตั้ง 9 ครั้ง สถิติในอดีตบ่งบอกว่าการเลือกตั้งส่งผลต่อหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญครอบคลุมช่วงเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ คือ 2 สัปดาห์ก่อนหน้า และ 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยระหว่าง 3 สัปดาห์นี้ ดัชนี SET ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6% ส่วนช่วงเวลาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็น 1 เดือน, 3 เดือน หรือ 6 เดือน สถิติไม่ได้ชี้ชัดว่าหุ้นไทยจะวิ่งขึ้น 

 

“แต่ครั้งนี้อาจไม่เหมือนในอดีตทีเดียว เพราะหากจะมองแง่บวก ในอดีตการเลือกตั้งจะเกิดทุกๆ 4 ปี แต่ครั้งนี้ไม่เลือกตั้งมา 8 ปีเต็ม อาจทำให้เกิดความคาดหวังสูงกว่าครั้งก่อนๆ ส่งผลให้เรามองเชิงบวกต่อหุ้นไทยในไตรมาสแรก” 

 

นอกจากนี้ จากการศึกษาแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2548 (ก่อนหน้านั้นข้อมูลของแต่ละกลุ่มมีค่อนข้างน้อย และบางกลุ่มยังไม่ถูกจัดตั้งขึ้นมา) พบว่ากลุ่มที่โดดเด่นในช่วงของการเลือกตั้ง แบ่งเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ สื่อ อสังหาริมทรัพย์ สุขภาพ พาณิชย์ และธนาคาร 

 

“อีกแพตเทิร์นหนึ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นมักจะปรับตัวลงหลังการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ เพราะความคาดหวังที่นำมาก่อน แต่ครั้งนี้หากผลการเลือกตั้งออกมาเป็นภาพของรัฐบาลเสียงข้างมากถล่มทลาย มีโอกาสที่หุ้นจะตอบรับเชิงบวก” 

 

ด้านภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า ดัชนี SET มีโอกาสจะวิ่งไปถึงระดับ 1,800 จุด หลังการเลือกตั้งเกิดขึ้น จากสถิติในอดีต หากซื้อหุ้นก่อนเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ และขายหลังจากเลือกตั้งเสร็จสิ้น 1 เดือน จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด 

 

โดยปกติแล้วกลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นได้ดีในช่วงเลือกตั้งคือ พาณิชย์ เช่าซื้อ และธนาคาร ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่อิงกับการบริโภคในประเทศ นอกจากนี้กลุ่มสื่อสารก็มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีเช่นกัน เนื่องจากในอดีตมักจะเป็นกลุ่มที่อิงกับขั้วการเมือง 

 

“ปัจจุบันเชื่อว่าตลาดจะยังมองหุ้นที่อิงกับกลุ่มการเมืองอยู่เช่นเดิม อย่างหุ้น SC หรือ SIRI ที่เราเห็นแรงเก็งกำไรมาตั้งแต่เดือนธันวาคม หลังเริ่มมีความชัดเจนในเรื่องของการเลือกตั้งครั้งใหม่” 

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากยึดเวลาครบวาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กำหนดแผนจัดการเลือกตั้งทั่วไปจะตรงกับวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 แต่ถ้ามีการยุบสภา ต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปตั้งแต่ 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ มีผลบังคับใช้ แสดงว่าปัจจุบันเหลือเวลาประมาณ 3 เดือนเศษ จะมีการเลือกตั้งครั้งที่ 29 เกิดขึ้น

 

ฝ่ายวิจัย เอเซีย พลัส ศึกษาผลตอบแทนตลาดหุ้นช่วงก่อนและหลังวันเลือกตั้งที่ดีที่สุดในปี 2544-2562 พบว่า ดัชนี SET มักให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งเฉลี่ย 3.9% และในช่วงสัปดาห์แรกของการเลือกตั้งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพิ่มอีก 3.8% 

 

สรุปคือ SET มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่มีกระแสเลือกตั้ง โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง ถึงหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์ SET มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงถึง 7.7%

 

นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยศึกษากลุ่มอุตสาหกรรมและหุ้นที่มักจะโดดเด่นกว่า (Outperform) ดัชนี SET ได้ดีในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งปี 2544-2562 โดยไม่รวม 1 สัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง โดยกลุ่มหุ้นที่โดดเด่นคือ สื่อสาร +9.4%, สื่อ +7.8%, พาณิชย์ +6.4%, อาหาร +5.5%, ไฟแนนซ์ +5.2%, วัสดุก่อสร้าง +4.8%, ธนาคาร +4.3% และรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งก่อนปี 2557 รวมอยู่ในกลุ่ม CONMAT

 

ส่วนหุ้นที่เพิ่มขึ้นโดดเด่น คือ STPI +21.5%, SC +18.7%, BEC +16.8%, MAKRO +16.5%, TKS +16.3%, MAJOR +14.7%, INTUCH +13.8%, ADVANC +13.3%, MINT +12.4%, THCOM +12.2%, CENTEL +11.6%, STEC +10.5%, NWR +9.2%, BBL +7.7%, PLANB +7.6%, AP +7.2%, SCC +5.9% และ AMATA +4.6%


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising