หุ้นวอลล์สตรีทปิดตลาดในแดนบวก ขานรับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งที่ออกมาดีเกินคาด

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (19 ตุลาคม) ขยับเพิ่มขึ้นมาปิดตลาดในแดนบวกทั้ง 3 กระดาน โดยได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบรรดาบริษัทจดทะเบียนในตลาดที่แข็งแกร่งและดีเกินคาด ช่วยคลายความวิตกกังวลของนักลงทุนส่วนใหญ่ที่หวั่นเกรงว่า ปัญหาโควิดระบาดกับภาวะเงินเฟ้อจะกระเทือนต่อการฟื้นตัวและผลกำไรของบริษัทในสหรัฐฯ

โดยดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 198.70 จุด หรือ 0.6% ปิดที่ 35,457.31 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 ขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ที่ 0.7% ปิดตลาดที่ 4,519.63 จุด และดัชนี Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.7% ปิดที่ 15,129.09 จุด

ความเคลื่อนไหวเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และดัชนี S&P 500 เข้าใกล้สถิติสูงสุดตลาดกาลของตลาดแล้ว

สำหรับผลประกอบการที่ได้รับความสนใจ คือหุ้นของบริษัทดาวรุ่งอย่าง Netflix และหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Procter & Gamble (P&G), Walmart และ Johnson & Johnson ซึ่งทั้งหมดล้วนมีรายได้ผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

จนถึงขณะนี้ 82% ของบริษัทใน S&P 500 ล้วนมีรายงานผลประกอบการที่ดีเกินความคาดหมาย ซึ่ง FactSet ประเมินว่า การเติบโตของผลกำไรในไตรมาสที่ 3 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ในปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นถึง 30%

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงเฝ้ารอความเห็นของบรรดาบริษัทเหล่านี้ที่มีต่อปัญหาห่วงโซ่การผลิตและภาวะเงินเฟ้อ

ขณะเดียวกัน ราคาทองคำเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาอีกครั้ง เหตุนักลงทุนผิดหวังจากรายงานเริ่มต้นสร้างบ้านของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ในเดือนกันยายนที่ลดลง 1.6% สู่ระดับ 1.555 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นจากระดับ 1.580 ล้านยูนิตในเดือนสิงหาคมมาอยู่ที่ระดับ 1.620 ล้านยูนิต ขณะที่การอนุญาตก่อสร้างบ้านดิ่งลง 7.7% สู่ระดับ 1.589 ล้านยูนิต

รายงานระบุว่า การเริ่มต้นสร้างบ้านของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง และการขาดแคลนแรงงาน โดยภาคการก่อสร้างและอสังหาฯ ถือเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ช่วยให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับมาแข็งแกร่งได้ในปีที่แล้วจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวเริ่มสั่นคลอนเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่าง ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ผู้ประกอบการชะลอโครงการก่อสร้าง

ความเคลื่อนไหวในภาคการก่อสร้างเป็นอีกหนึ่งสัญญาณตอกย้ำสถานการณ์เงินเฟ้อ ทำให้นักลงทุนหันเข้าหาทองคำ โดยนักวิเคราะห์มองว่าเป็นเพียงความเคลื่อนไหวระยะสั้นๆ ที่ทำให้ราคาทองคำขยับปรับตัวขึ้นในกรอบแคบๆ เท่านั้น โดยแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังมีสิทธิ์ปรับตัวลง โดยเฉพาะหลังจากที่ปัญหา ‘คอขวด’ ในระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิตได้รับการแก้ไข ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตกลับมาดำเนินการได้ตามปกติอีกครั้ง

ทั้งนี้ ราคาทองคำเมื่อวานนี้ (19 ตุลาคม) งวดส่งมอบเดือนธันวาคมในตลาดฟิวเจอร์ส ปรับตัวขึ้นมาเล็กน้อยที่ 0.76% ปิดที่ 1,779.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

ขณะเดียวกัน สถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานผลการประมูลของ ก๊าซพรอม บริษัทผู้ผลิตและส่งออกพลังงานยักษ์ใหญ่ของรัสเซีย ที่ไม่เพิ่มปริมาณการส่งออกก๊าซธรรมชาติไปยังภูมิภาคยุโรปที่กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ซึ่งสวนทางกับท่าทีของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ที่ให้คำมั่นว่าจะหาทางช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเต็มที่ จนหลายฝ่ายเชื่อว่ารัสเซียมีสิทธิ์เพิ่มการส่งออกพลังงานเพื่อผ่อนคลายราคาก๊าซที่พุ่งสูงขึ้นในยุโรป

รายงานระบุว่า ก๊าซพรอมไม่ได้เพิ่มปริมาณการขนส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรปในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยครอบคลุมทั้งในเส้นทางระบบท่อส่งก๊าซผ่านยูเครน และท่อส่งก๊าซไปยังยุโรปตะวันออกผ่านโปแลนด์

นักวิเคราะห์พลังงานส่วนหนึ่งมองว่า ผลการประมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารัสเซียไม่รีบร้อนที่จะเพิ่มปริมาณการขนส่งก๊าซธรรมชาติไปยังยุโรป ขณะเดียวกัน ก็เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลรัสเซียกำลังมองหาช่องทางที่จะทำให้โครงการส่งก๊าซผ่านท่อส่งก๊าซนอร์ด สตรีม 2 ที่จะขนส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปยังเยอรมนีผ่านทะเลบอลติกในเชิงพาณิชย์ ดำเนินการได้อย่างราบรื่นมากขึ้น

ทั้งนี้ รัสเซียถือเป็นประเทศผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และถือเป็นซัพพลายเออร์ก๊าซรายใหญ่ที่สุดของยุโรป โดยข้อมูลจาก Eurostat ระบุว่า ก๊าซจากรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% ของการนำเข้าก๊าซทั้งหมดของสหภาพยุโรปเมื่อปีที่แล้ว

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth

Instagram: instagram.com/thestandardwealth

Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP