×

Squid Game บทพิสูจน์ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของ Netflix ในสงครามสตรีมมิง นั่นคือ ‘ซีรีส์ภาษาต่างประเทศ’

12.10.2021
  • LOADING...
Squid Game

ซีรีส์ Squid Game จาก Netflix เตรียมสร้างประวัติศาสตร์ หลังก้าวเป็นซีรีส์เกาหลีเรื่องแรกของ Netflix ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในกว่า 90 ประเทศ ซึ่งไม่เคยมีซีรีส์เกาหลีเรื่องไหนทำได้มาก่อน ซีรีส์เรื่องนี้สร้างกระแสใน TikTok และถูกนำไปใช้ในธีมฮาโลวีน หากไถโซเชียลมีเดียดูจะเห็นคอนเทนต์ Squid Game อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสองครั้งในทุกๆ วันช่วงสัปดาห์นี้

 

Netflix ได้ลงทุนสร้างคอนเทนต์ต่างประเทศมาตั้งแต่ปี 2015 โดยได้ใช้เงินไปมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท) สำหรับคอนเทนต์เกาหลีเพียงอย่างเดียว นี่ถือเป็นรายการเกาหลีรายการแรกที่ประสบความสำเร็จได้ในระดับนี้ และกำลังผลักดันผู้ชมหน้าใหม่หลายล้านคนหันไปดูซีรีส์เอเชียตะวันออกอื่นๆ เช่น ‘Sweet Home’ และ ‘Alice in Borderland’ จะเห็นว่า Netflix พยายามสร้างความหลากหลายให้กับคอนเทนต์ในแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นแพลตฟอร์มเอ็นเตอร์เทนเมนต์สำหรับผู้คนกว่า 190 ประเทศทั่วโลก

 

โดยปกติแล้วในอเมริกาสมัยก่อน ภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่างประเทศจะฉายในโรงภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ จะมีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ฉายในโทรทัศน์ช่องหลัก แต่ในปัจจุบันการรับชมภาพยนตร์/ซีรีส์ต่างประเทศ ที่มีคำบรรยายหรือการพากย์เสียงเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ภาพยนตร์/ซีรีส์ที่มีผู้ชมมากที่สุดสามอันดับแรกในอเมริกา และเป็นที่นิยมมากระดับโลกเมื่อเดือนที่แล้ว ล้วนมาจากต่างประเทศ อย่าง ‘La Casa de Papel’ จากสเปน ‘Sex Education’ จากสหราชอาณาจักร และ ‘Squid Game’ จากเกาหลีใต้

 

คอนเทนต์ยอดนิยมจาก Netflix เหล่านี้ถูกมองว่า มาในเวลาที่เหมาะสมมาก เนื่องจากครึ่งปีแรกของปีนี้ เป็นครึ่งปีแรกของ Netflix ที่อ่อนแอสุดนับตั้งแต่ปี 2013 รวมถึงต้องเผชิญกับความไม่มั่นใจจากนักลงทุนเกี่ยวกับอนาคตของธุรกิจ ทำให้หุ้นของบริษัทลดลงในช่วงกลางเดือนสิงหาคมปีนี้ แต่คอนเทนต์ใหม่ที่เปิดตัวมาในไตรมาสที่สามที่ผ่านมาสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาเล็กน้อย ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม

 

จากข้อมูลของ Parrot Analytics พบว่าสัดส่วนความต้องการดูออริจินัลคอนเทนต์ทั่วโลกของ Netflix แตะระดับต่ำสุดใหม่ในไตรมาสที่สาม โดยสัดส่วนความต้องการดูออริจินัลคอนเทนต์ของ Netflix อยู่ที่ (45.8%), Amazon Prime Video อยู่ที่ (12%), Disney+ (8.4%), Apple TV+ (6.1%), Hulu (5.5%) และ HBO Max (5.1%) จะเห็นว่า Netflix ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดเป็นส่วนใหญ่ แต่ Netflix เคยมีสัดส่วนความต้องการดูออริจินัลคอนเทนต์เยอะกว่านี้มาก แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่ลดลงอย่างมาก และการเข้ามาของคู่แข่งหลากหลายแห่ง

 

แต่ข่าวร้ายๆ และความกังวลจากนักลงทุนนั้นได้หายไปในเดือนกันยายน ด้วยการที่ Netflix กวาดรางวัลสำคัญของ Emmys และการเปิดตัวคอนเทนต์น่าสนใจต่างๆ มากมาย ทำให้หุ้นของบริษัทดีดตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่

 

รวมถึง Squid Game เริ่มฉายในปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นปลายไตรมาสปิดงบประมาณ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ Netflix จะไม่ได้คำนวณรายได้ทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดตัวคอนเทนต์ที่น่าสนใจต่างๆ ตอนรายงานผลประกอบการทางการเงินในปลายเดือนนี้ แต่ไม่ว่า Netflix มีผลงานที่ดีในไตรมาสที่สามหรือไม่ การพัฒนาคอนเทนต์ต่างๆ อย่าง Squid Game นั้นมีความสำคัญต่อการเติบโตของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

 

รวมถึงเร็วนี้ๆ Netflix ได้ทุ่มเทงบประมาณมากขึ้นเรื่อยๆ เข้าถึงลูกค้าในอินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไนจีเรีย ส่วนในสหรัฐฯ เองนั้น เป็นประเทศที่ Netflix ทำรายรับได้มากเป็นส่วนใหญ่ แต่หลักๆ แล้วจะมาจากผู้ชมหน้าเก่า และมีสัดส่วนรายรับจากผู้ชมหน้าใหม่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ มาก

 

แม้ว่าความได้เปรียบทางการแข่งขันของ Netflix ในสหรัฐอเมริกาได้หายไปอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ความได้เปรียบในต่างประเทศนั้นมีความสำคัญมากกว่า มีผู้ให้บริการสตรีมมิงเพียงแค่ไม่กี่แห่งที่มีประสบการณ์ให้บริการในต่างประเทศ และยังไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่เทียบเคียง Netflix ได้ เช่น ViacomCBS และ Comcast ได้ร่วมมือกันสร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อจับกลุ่มผู้ชมในยุโรป ส่วน HBO Max ยังไม่ได้เข้าถึงในพื้นที่ยุโรปที่สำคัญที่สุดบางแห่งด้วยซ้ำ และ Apple ก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้นเอง

 

ในส่วนของ Disney มีข้อได้เปรียบเนื่องจากเป็นแบรนด์ผู้ผลิตคอนเทนต์ที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอยู่ก่อนแล้ว แต่ตัวชูโรงอย่าง Marvel และ Star Wars แค่นั้นยังไม่เพียงพอที่จะโค่น Netflix ได้ และ Disney ยังออกมาประกาศไปก่อนหน้านี้ว่า การเติบโตของบริษัทมีการชะลอตัวในลาตินอเมริกา เนื่องจากการถ่ายทำ และการผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ที่ล่าช้าจากโควิด

 

Netflix เองต้องใช้เวลาหลายปีในการแก้ปัญหาในลาตินอเมริกา ทั้งหาวิธีที่ทำให้ผู้คนมาสมัครสมาชิก และจัดหาคอนเทนต์สำหรับผู้ชมในท้องถิ่น แต่ปรากฏว่าชาวบราซิลต้องการดูเป็นอย่างมากแค่ Breaking Bad เท่านั้น

 

อีกไม่นานบริษัทคู่แข่งต่างๆ จะเดินตามรอย Netflix และคุณอาจจะเห็นว่ามันเกิดขึ้นไปบ้างแล้ว บริษัทสื่อตะวันตกยักษ์ใหญ่หลายแห่งทุ่มเงินเข้าสู่การผลิตคอนเทนต์ต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งจัดหาทีมงาน นักแสดง และโปรดิวเซอร์ต่างๆ ทั่วโลก พร้อมให้ค่าตอบแทนที่มากขึ้นอีกด้วย นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของผู้ผลิตภาพยนตร์ทั่วโลกเลยทีเดียว

 

จริงๆ แล้วมีประเด็นให้พูดคุยอีกมากมายเกี่ยวกับการที่ Netflix, Amazon, Disney และ Apple เข้ามาครองธุรกิจบันเทิงในทั่วทุกมุมโลก แต่ในตอนนี้กลุ่มคนที่ดีใจมากที่สุดคือ เหล่าโปรดิวเซอร์ ที่ตื่นเต้นสุดๆ ที่จะได้มีโอกาสเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X