เสร็จสิ้นลงอย่างน่าประทับใจสำหรับ อุลเนอร์แมน STAND ALONE ทอล์กโชว์ครั้งแรกของ อุล-ภาคภูมิ จงมั่นวัฒนา นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่างโคตรคูล และ Workpoint โดย THE STANDARD POP ได้รับเกียรติให้มาร่วมชมทอล์กโชว์ครั้งนี้ในรอบเวลา 14.00 น.
ย้อนกลับไปในครั้งแรกๆ ที่เรารู้จักชื่อของ อุล ภาคภูมิ เห็นจะเป็นช่วงที่เขารับหน้าที่พิธีกรรายการ VICTORY BNK48 ที่ออกอากาศในช่วงปี 2561 ร่วมกับ โอ๊ต-ปราโมทย์ ปาทาน ซึ่งทั้งคู่ต่างร่วมกันสร้างสีสันและความสนุกสนานในฐานะพิธีกรรายการได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มรู้จักกับอุลมากยิ่งขึ้นผ่านรายการ ตลก 6 ฉาก และรายการออนไลน์ทางช่องโคตรคูลที่เขามาร่วมสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะการรับ-ส่งมุกตลกที่เข้าขากันดีระหว่างโอ๊ต, ดีเจอาร์ต-มารุต ชื่นชมบูรณ์ และอุล รวมถึงรายการใหม่ของเขาอย่าง ยาระบายอ่อน ๆ ที่คอยรับฟังเรื่องราวจากทางบ้าน พร้อมแนะนำหนังสือ ภาพยนตร์ ซีรีส์ เพลง และพอดแคสต์หลากหลายแบบให้ผู้ฟังได้ติดตาม
มาถึงทอล์กโชว์ครั้งแรกของเขาอย่างอุลเนอร์แมน STAND ALONE ตลอดระยะเวลาร่วม 2 ชั่วโมง นอกจากความตลกขบขันที่อุลตระเตรียมมามอบเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีแล้ว เขายังพาเราไปสำรวจช่วงเวลาสำคัญต่างๆ ในชีวิตของเขาไปพร้อมกันอีกด้วย
อุลเนอร์แมน STAND ALONE เปิดม่านการแสดงด้วย VTR ข้อความที่บอกกฎระเบียบในการรับชมให้ทุกคนทราบ พร้อมหยอดมุกแซวอุลเล็กๆ น้อยๆ อย่างการห้ามกินช็อกโกแลตระหว่างรับชม ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนที่อุลจะปรากฏตัวพร้อมทักทายหยอกล้อแขกและผองเพื่อนอย่างเป็นกันเอง
ในพาร์ตนี้มีช่วงหนึ่งที่เราชื่นชอบเป็นพิเศษ อุลสารภาพกับผู้ชมตามตรงว่าเขายังคงตื่นเต้นและประหม่ากับการยืนพูดต่อหน้าผู้ชมนับร้อย ก่อนจะเล่าต่อว่าเขาได้รับคำแนะนำจากพิธีกรรุ่นพี่อย่าง น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา ในการทำให้เวทีเป็นของตัวเอง ซึ่งหลังจากที่เขาเล่าถึงที่มาของทอล์กโชว์ครั้งนี้และสร้างเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ มีช่วงหนึ่งที่เขากล่าวกับน้าเน็กบนเวทีว่า “เวทีเป็นของผมแล้วน้า” ซึ่งช่วงที่เขาพูดประโยคนั้น เราเชื่ออย่างสนิทใจว่า ณ ตอนนี้เวทีนี้เป็นของเขาแล้วจริงๆ
หลังจากเกริ่นนำกันมาสักพัก อุลก็เริ่มพาทุกคนไปสำรวจเรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของเขา ตั้งแต่เส้นทางการเข้ามาเป็นพิธีกรรายการ Workpoint ความผิดพลาดในการรับหน้าที่เป็นพิธีกรรายการข่าว จนนำมาสู่การเป็นส่วนหนึ่งของรายการ ชิงร้อยชิงล้าน ซึ่งเขาต้องเผชิญกับคอมเมนต์ในแง่ลบมากมายจนสูญเสียความมั่นใจ ไปจนถึงการค้นพบว่าตัวเองเป็นหลานของ ‘คุณตา’ (ปัญญา นิรันดร์กุล ผู้บริหารของ Workpoint) ที่เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของงานที่สร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้ชมได้ตลอดทั้งโชว์
หรือจะเป็นการได้โคจรมาเจอกับโอ๊ต อีกหนึ่งบุคคลสำคัญในชีวิตของอุลที่เป็นทั้งต้นแบบและที่ปรึกษาในเรื่องต่างๆ พร้อมเล่าเบื้องหลังการเข้าถือหุ้นบริษัทโคตรคูลของ Workpoint ที่มีเขาเป็นตัวแปรสำคัญ ก่อนที่บอสใหญ่ของโคตรคูลอย่างโอ๊ตจะขึ้นมาปรากฏตัวเล็กๆ น้อยๆ บนเวที ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของทั้งคู่อย่างชัดเจน
รวมถึงแง่มุมส่วนตัวของอุลอย่าง ‘ความรัก’ ที่มีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข ช่วงเวลาที่จมอยู่กับความเศร้า การหาวิธีฮีลใจให้กลับมารักตัวเองอีกครั้ง ไปจนถึงการพบกับความรักครั้งใหม่ที่เขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะใจใครคนนั้น แต่ในท้ายที่สุดเขาก็กลับมายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกครั้ง
นอกจากเรื่องเล่าเปี่ยมอารมณ์ขันที่สร้างเสียงหัวเราะได้อย่างไม่ขาดสาย อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เข้ามาช่วยแต่งแต้มสีสันให้ทอล์กโชว์ครั้งนี้ คือฉากหลังและแสงบนเวทีที่ปรับเปลี่ยนไปตามประเด็นที่อุลกำลังบอกเล่า อย่างเช่นในพาร์ตที่พูดถึงการทำงานใน Workpoint เราก็จะได้เห็นอาคาร Workpoint อยู่ด้านหลัง หรือช่วงที่เล่าถึงความรัก ฉากหลังก็จะเปลี่ยนสีไปตามอารมณ์ของอุลที่มีทั้งสดใสและหมองหม่น ซึ่งช่วยเสริมให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึง ‘อารมณ์’ ของเขาในช่วงเวลาต่างๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น
หลังจากทอล์กโชว์อุลเนอร์แมน STAND ALONE ครั้งนี้สิ้นสุดลง อย่างหนึ่งที่เราสัมผัสได้อย่างชัดเจนภายใต้เรื่องราวเปี่ยมอารมณ์ขัน เห็นจะเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่เผชิญกับ ‘ความผิดพลาด’ มาหลายครั้ง ทั้งแง่มุมของการทำงานหรือความรักก็ตาม
แต่อีกหนึ่งประเด็นที่ชัดเจนไม่แพ้กัน คือเรื่องราวของชายที่ไม่เคย ‘หยุดเดิน’ กับเส้นทางที่เขาเลือกเดิน และพร้อมจะลงมือทำหน้าที่ของตัวเองอย่าง ‘เต็มที่’ เสมอ แม้ว่าบทบาทที่เขาได้รับจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
ซึ่งแม้ว่าตลอดการเดินทางของอุลจะต้องเจอกับความผิดพลาดมาบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่าการไม่หยุดเดินและทำทุกบทบาทอย่างเต็มที่เสมอ ก็ได้พาให้เขาก้าวขึ้นมายืนอยู่บนทอล์กโชว์ครั้งแรกของตัวเอง เวทีที่เขาไม่ได้ยืนอยู่แบบ STAND ALONE อย่างที่ชื่องานระบุไว้ แต่เป็นเวทีที่เนืองแน่นไปด้วยเพื่อนสนิทมิตรสหายและแฟนๆ มากหน้าหลายตาที่ชื่นชมในทุกผลงานของเขา และได้เดินทางมาร่วมยินดีและลุกขึ้นปรบมือให้เขาในวันสำคัญครั้งนี้อย่างกึกก้อง
ภาพ: Workpoint