วันนี้ (18 สิงหาคม) ที่รัฐสภา สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมวิป 3 ฝ่ายที่สภาผู้แทนราษฎร ว่า ในการประชุมรัฐสภาเพื่อเปิดเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ วุฒิสภาได้เวลาอภิปราย 2 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับการโหวตให้ความเห็นชอบ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ซึ่ง สว. ก็จะใช้เวลานี้ในการอภิปรายทุกเรื่องของผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
สมชายกล่าวต่อว่า ในที่ประชุมวันนี้ตนได้ถามพรรคเพื่อไทยว่า สรุปแล้วจะเสนอชื่อใคร แต่พรรคเพื่อไทยยังพูดไม่ชัดเจน บอกว่าจะมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 สิงหาคม เบื้องต้นตอนนี้ยังเป็น เศรษฐา ทวีสิน ตนเลยบอกว่าตนได้ยินเป็นชื่ออื่น จึงมองว่าพรรคเพื่อไทยควรทำเรื่องนี้ให้ละเอียดและชัดเจน ส่วนความเห็นของ สว. ในการให้ความเห็นชอบเศรษฐานั้นยอมรับว่า สว. เสียงแตกเป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยนั้น สมชายกล่าวว่า ไม่ส่งผลให้ สว. เลิกแตกแถวได้ เพราะ สว. มีอิสระอยู่แล้วทุกคน ทุกคนจะต้องพิจารณาตามคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ถูกเสนอชื่อ
พร้อมปฏิเสธแนวคิดที่ สว. ไม่ให้ความเห็นชอบเศรษฐาเพื่อจะได้เสนอชื่อ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป และกล่าวว่า ไม่มีใครคิดไปไกลขนาดนั้น แม้เศรษฐาไม่ได้รับความเห็นชอบ พรรคเพื่อไทยก็ยังมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่น และคงไม่ไปถึงขั้นเสนอชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย จึงยืนยันว่า สว. ทำหน้าที่ของตนเองตามปกติ และอยากให้ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์และตอบข้อซักถามของสมาชิก หากไม่มาก็ควรมีการแถลงอย่างเป็นทางการ แต่ถ้ามาก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีของเศรษฐาเอง
แต่ในที่ประชุมวันนี้ประธานได้แจ้งว่า ไม่มีในข้อบังคับว่าจะต้องให้ผู้ที่ถูกเสนอชื่อมาแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมรัฐสภา แต่หากมีสมาชิกซักถาม ผู้ที่ถูกซักถามก็สามารถลุกขึ้นอภิปรายได้ จึงถือเป็นข้อดีถ้าเจ้าตัวมา แต่หากไม่มา กมธ. ของ สว. ก็สามารถซักถามไปยังผู้ที่ถูกเสนอชื่อได้ทุกคนเช่นเดียวกัน ซึ่งในสภาข้อบังคับอาจจะไม่ได้กำหนดไว้ โดยเบื้องต้นเศรษฐาไม่ได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุม
“วันนี้ต้องเอาให้ชัดเจน เพราะการตั้งรัฐบาลอ้างว่าเป็นการสลายขั้ว สว. ไม่ได้ขัดข้องอะไร ยิ่งตอนนี้พรรคเพื่อไทยมีแนวคิดในการผลักดันเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สว. บางส่วนสงสัยว่าทำไมต้องล้มรัฐธรรมนูญ ทำไมถึงไม่ใช้วิธีการแก้ไขฉบับเดิมที่มีอยู่ เพราะการยกร่างฉบับใหม่ต้องมีการทำประชามติถึง 3 ครั้ง ใช้เงินเกือบ 4,000 ล้านบาท และต้องเข้าใจว่า สว. ก็มาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หากเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาตรงไหนก็เสนอแก้ไขจะดีกว่า แต่เรื่องนี้จะส่งผลให้ สว. ไม่ให้ความเห็นชอบเศรษฐาหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ส่วนตัวกังวลเรื่องนี้” สมชายกล่าว
สมชายยังกล่าวถึงกรณี รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ได้ขอหารือในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย เพื่อขอให้พิจารณาญัตติทบทวนมติเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ซึ่งประธานรัฐสภายินดีที่จะเปิดโอกาสให้รังสิมันต์เสนอญัตติดังกล่าวได้ แต่ส่วนตัวหากมีการเสนอจริงก็ขอคัดค้าน เพราะมองว่าญัตติดังกล่าวประธานได้ใช้อำนาจในการชี้ขาดไปแล้ว อีกทั้งเมื่อมีมติไปแล้วก็ไม่ควรนำกลับมาทบทวนใหม่ มิฉะนั้นก็จะทำอย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ
สมชายยังกล่าวถึงการโหวตให้เศรษฐาอีกว่า ตนไม่ได้บอกว่าจะโหวตหรือไม่โหวตให้ ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบตามปกติ ความประพฤติ พฤติกรรม จริยธรรม เหมือนกับองค์กรอิสระ ถ้าไม่มีปัญหาเราก็โหวตให้ และองค์ประกอบของนโยบายร่วมของทุกพรรค นำพาประเทศไปได้เราก็เห็นด้วย นำพาประเทศไม่ได้เราก็ไม่เห็นด้วย ส่วนความเหมาะสมของเศรษฐานั้นตนขอไม่วิพากษ์เป็นรายบุคคล เนื่องจากไม่เป็นธรรมกับตัวเศรษฐา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากครั้งนี้ สว. ไม่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี สว. จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าประเทศหรือไม่ สมชายกล่าวว่า เป็นวาทกรรมที่กล่าวหาอยู่แล้ว สส. ยังเคยจัดตั้งรัฐบาล 377 เสียง สมัย ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พอจัดไม่ได้ก็มาอยู่ที่ สว. ตนคิดว่าไม่มีปัญหา เพราะ สว. ก็ชัดเจนตรงไปตรงมา และไม่ได้กังวล ถ้าใครเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีเราก็โหวตให้ ทุกคนต้องลุกขึ้นขานชื่อให้ประชาชนรับทราบอยู่แล้ว ไม่มีวัตถุประสงค์จะไปขัดขวางใคร