×

‘Slotball’ อาร์เน สลอต เปลี่ยนแปลงอะไรในลิเวอร์พูลที่แตกต่างจากคล็อปป์

25.10.2024
  • LOADING...

จากโค้ชที่ถูกตั้งเครื่องหมายคำถามว่าจะสานงานต่อจาก เจอร์เกน คล็อปป์ อดีตผู้จัดการทีมผู้ยิ่งใหญ่ในความรู้สึก ได้ไหวหรือไม่ วันนี้ ‘หงส์แดง’ ลิเวอร์พูล กำลังบินสูงอย่างน่าตื่นเต้น

 

8 Matchweek ที่ผ่านไป ลิเวอร์พูลยุคใหม่ของ อาร์เน สลอต ผงาดขึ้นนำเป็นจ่าฝูงด้วยการเก็บชัยชนะได้ถึง 7 นัด มี 21 แต้มจากจำนวนแต้มเต็ม 24 แต้ม โดยไม่นับการชนะรวด 3 นัดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และผ่านเข้ารอบ 4 ของศึกฟุตบอลลีกคัพ

 

สลอตเปลี่ยนแปลงสไตล์การเล่นจาก ‘Heavy Metal Football’ ในแบบของคล็อปป์ มาเป็นฟุตบอลในสไตล์ใหม่ ‘Slotball’ ได้อย่างไร มีอะไรที่ไม่เหมือนเดิมบ้าง

 

และมันจะทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่มีโอกาสลุ้นแชมป์จริงหรือไม่?

 

ในบทวิเคราะห์หลังเกมที่ลิเวอร์พูลเฉือนเอาชนะเชลซีได้ 2-1 ซึ่งพรีเมียร์ลีกจัดทำไว้ในรายการ The Breakdown ในเรื่อง How Arne Slot Made Liverpool Title Contenders มีการวิเคราะห์ถึงสิ่งที่ อาร์เน สลอต เปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลให้กลายเป็นทีมใหม่ที่ไฉไลไม่เบา

 

หลักใหญ่ใจความที่น่าสนใจนั้นมีอยู่ 3 จุดใหญ่ด้วยกัน

 

 

1. การทำประตูได้หลากหลายรูปแบบ

 

สิ่งที่จะทำให้ทีมเก็บชัยชนะที่ต้องการได้แน่นอนกว่าก็คือ ‘เรื่องของการทำประตู’ ซึ่งลิเวอร์พูลในชุดนี้แสดงให้เห็นว่า พวกเขามีรูปแบบและวิธีการเล่นที่หลากหลาย ซึ่งสามารถเจาะทะลวงตาข่ายคู่ต่อสู้ได้เสมอ

 

รูปแบบอย่างแรกเลยคือ การสร้างโอกาสด้วย ‘ความดุดัน’ (Aggressive)

 

ย้อนกลับไปในเกม ‘แดงเดือด’ ที่ลิเวอร์พูลพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนที่แล้วที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และจบลงด้วยชัยชนะ 3-0 นั้น ประตูปิดท้ายของเกมมาจากการทำประตูของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในช่วงต้นครึ่งหลัง

 

ประตูนี้เป็นกระจกสะท้อนถึงวิธีการเล่นที่ดุดันของลิเวอร์พูล โดยคีย์แมนของจังหวะนี้คือ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ กองกลางตัวรับคู่ในแบบ Double Pivot ซึ่งตัดทำลายเกมของแมนฯ ยูไนเต็ด ได้หลายครั้งในเกมดังกล่าว

 

ในนาทีที่ 55 ของเกม แม็ค อัลลิสเตอร์ เพรสซิ่งใส่ ค็อบบี้ ไมนู กองกลางของแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นตัวพลิกบอลและขับเคลื่อนเกม ก่อนจะชิงจังหวะตัดบอลมาได้ 

 

ตรงนี้คือการ ‘กดปุ่ม’ เกมบุกของลิเวอร์พูลไปด้วย โดยที่เมื่อตัดบอลได้แล้ว บรรดาตัวรุกของลิเวอร์พูล 4 คนอันประกอบไปด้วย หลุยส์ ดิอาซ, ดีโอโก โชตา, โดมินิก โซโบสไล และ โม ซาลาห์ ก็พุ่งเข้าใส่กรอบเขตโทษของแมนฯ ยูไนเต็ด ทันที

 

ทำให้สถานการณ์กลายเป็นการ Overload ของแนวรุกลิเวอร์พูลที่ได้เปรียบ 4:2 ซึ่งด้วย ‘คุณภาพ’ ของผู้เล่นแล้ว สถานการณ์แบบนี้มีโอกาสที่จะได้ประตูสูง

 

และโซโบสไลก็ไหลออกขวาให้ซาลาห์ยิงตามน้ำในจังหวะแรกผ่านมือของ อังเดร โอนานา เข้าประตูไป

 

รูปแบบที่ 2 จะแตกต่างจากแบบแรกในทางตรงกันข้ามนั่นคือ การเล่นแบบ ‘อดทน’ (Patient)

ในแบบ Aggressive นั้นพวกเขาจะบดบี้ขยี้ใส่ด้วยความรวดเร็ว ตัดบอลได้ โถมใส่ทันที แต่ในรูปแบบที่ 2 ลิเวอร์พูลจะเล่นอย่างอดทน เพื่อหาช่องจู่โจมที่ดีที่สุดแทน

 

ในเกมแรกของฤดูกาลที่พวกเขาไปเยือนอิปสวิช ทาวน์ ทีมน้องใหม่ (แต่หน้าเก่าสำหรับคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป) ซึ่งลิเวอร์พูลชนะ 2-0 นั้น ประตูขึ้นนำของเกมในนาทีที่ 60 จากโชตาก็มาจากการเล่นในรูปแบบนี้เช่นกัน

 

จุดเริ่มต้นของจังหวะมาจากลูกที่ซาลาห์ได้บอลจ่ายออกริมเส้นฝั่งขวาจาก ไรอัน กราเฟนแบร์ก

 

จังหวะนี้ซาลาห์หันหลังให้กับประตูอยู่ โดยมีเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ใกล้ที่สุดคือโซโบสไลแถวเส้นกลางสนาม ปกติแล้วก็ควรจะผ่านบอลให้เพื่อนเพื่อเล่นจังหวะทำชิ่ง ‘One-Two’ หรือโซโบสไลจะเปลี่ยนแกนบอลไปทางซ้ายที่ดิอาซมีพื้นที่ว่าง

 

แต่ซาลาห์กลับเลือกจ่ายคืนให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่ยังอยู่ในแดนตัวเอง

 

คีย์สำคัญสำหรับเพลย์นี้ยังเป็นการที่ผู้เล่นแนวรุกทั้งซาลาห์, โซโบสไล, โชตา และดิอาซ ต่างพุ่งเข้าหากรอบเขตโทษ เพียงแต่คนเดียวที่เทรนต์จะจ่ายให้คือซาลาห์ ซึ่งแบ็กขวาผู้จ่ายบอลดีที่สุดในโลกเปิดทะลุช่องอย่างสวยงาม ฉีกแนวรับเป็นริ้วๆ ให้สตาร์ชาวอียิปต์หลุดเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะจ่ายให้โชตาเข้าฮอสเป็นประตูขึ้นนำ 

 

อย่างไรก็ดี จังหวะนี้มีอีกโมเมนต์สำคัญคือ การที่โซโบสไลซึ่งทำท่าเหมือนจะพุ่งขึ้นหน้า (Penetrate) ด้วย ชะลอฝีเท้าและทำท่าขอให้เทรนต์ส่งบอลมาที่เท้า 

 

การทำแบบนี้ของโซโบสไลทำให้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของอิปสวิชชะงัก จนกลายเป็นการเปิดพื้นที่ด้านหลัง ซึ่งด้วยฝีเท้าของเทรนต์สามารถเปิดบอลทิ้งไปพื้นที่ตรงนั้นได้อย่างแม่นยำเหมือนนักสนุกเกอร์ระดับโลก 

 

นี่คือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สร้างความแตกต่างในเกมได้ และเป็นสิ่งที่ลิเวอร์พูลทำได้ดีในฤดูกาลนี้ ซึ่งเลือกได้ว่าจะเล่นโหมดไหน ระหว่างดุดันหรือค่อยๆ ไป

 

 

2. ห้องเครื่องที่ไม่มีทีมไหนหยุดได้

 

ในฤดูกาล 2022/23 ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ลิเวอร์พูลพังพาบคือแดนกลาง ซึ่งทำให้ในฤดูกาลต่อมา – ซึ่งเป็นฤดูกาลสุดท้ายของคล็อปป์ – มีการแก้ไขปัญหาด้วยการซื้อกองกลางเข้ามารวดเดียวถึง 4 คนด้วยกัน

 

คนที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดคือ ไรอัน กราเฟนแบร์ก กองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่ซื้อมาจากบาเยิร์น มิวนิก โดยแม้จะเริ่มต้นได้ดี แต่เล่นไปเล่นมาเหมือนจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักเตะดาวรุ่งที่ไม่สามารถจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ไม่ว่าจะในบทผู้เล่นหมายเลข 8 หรือหมายเลข 6 ก็ตาม

 

แต่การมาถึงของ อาร์เน สลอต และการพลาดตัว มาร์ติน ซูบิเมนดี กลายเป็นโอกาสของ ‘กราฟ’ เมื่อบอสคนใหม่ให้โอกาสลองเล่นในบทกองกลางตัวรับคู่กับแม็ค อัลลิสเตอร์ และกลายเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์

 

ตามข้อมูลสถิติแล้ว พื้นที่ที่กราเฟนแบร์กอยู่มากที่สุดในสนามมี 2 จุดด้วยกัน 

 

จุดแรกคือ ในแดนตัวเองหน้าแนวรับเยื้องไปทางฝั่งขวาใกล้กับ อิบราฮิมา โกนาเต และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เพื่อคอยรับบอลและหาทางลำเลียงหรือถ่ายบอลต่อ

 

แต่อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ บริเวณพื้นที่ระยะ 15-20 หลาหลังเส้นกลางสนาม

 

กราเฟนแบร์กไปอยู่พื้นที่ตรงนั้นได้อย่างไร? ก็จากการพลิกบอลและกลับตัวหลบคู่แข่ง (Twist & Turn) ซึ่งเป็นทักษะความสามารถเฉพาะตัว ที่สามารถแกะการป้องกันของแดนกลางคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายราวกับปลดเชือกที่ถูกมัดไว้แบบหลวมๆ

 

และด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ มีความเร็ว และขายาว อีกทั้งยังครองบอลได้ดี ทำให้กราเฟนแบร์กสามารถพาบอลทะลุขึ้นหน้าได้ สร้างจังหวะ Transition Play ให้ทีมได้ด้วยตัวคนเดียว 

 

เราพอจะบอกได้ว่ากราเฟนแบร์กคือคนที่ทำให้แดนกลางของลิเวอร์พูลจับทางได้ยาก

 

แต่เขาไม่ได้เป็นคนเดียว เพราะลิเวอร์พูลยังมีแม็ค อัลลิสเตอร์ ที่นอกจากจะเข้าตัดบอลได้อย่างดุดันแล้ว ความสามารถที่ยอดเยี่ยมอีกอย่างหนึ่งของกองกลางระดับแชมป์โลกก็คือ การเปิดบอลที่สามารถส่งบอลให้เพื่อนได้อย่างแม่นยำและหลากหลาย

 

วิถีการผ่านบอล (Passing Direction) ของแม็ค อัลลิสเตอร์ มีตั้งแต่การเล่นสั้นกับเพื่อน (และขยับไปรอรับบอลต่อ) หรือการออกบอลยาวอย่างแม่นยำ 

 

พูดง่ายๆ ก็คือ ลิเวอร์พูลเหมือนมีควอเตอร์แบ็กตัวเล็กๆ ในแดนกลางที่ออกบอลได้หลากหลาย และทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

 

 

3. ความยืดหยุ่น

 

ในยุคของ เจอร์เกน คล็อปป์ เป็นที่รู้กันว่าลิเวอร์พูลเป็นทีมที่จะเล่นแบบเดียวเท่านั้นนั่นคือ การเปิดฉากบุกถล่มคู่ต่อสู้ทุกทีมด้วยรูปแบบและวิธีการแบบเดิมๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่าความสามารถเฉพาะตัวและทีมเวิร์กจะจัดการคู่แข่งได้

 

เรียกว่ามีแต่ Plan A ไม่มี Plan B (หรือถึงมีก็ไม่ค่อยเป็นที่จดจำนัก)

 

แต่ในยุคนี้ของ อาร์เน สลอต ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่ดูจะเล่นได้หลากหลายวิธี ซึ่งในหลายนัดที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้คว้าชัยชนะด้วยการยิงคู่แข่งแบบถล่มทลายหรือขาดลอยนัก มีแค่ 3 เกมที่ชนะด้วยผลต่าง 3 ประตูหรือมากกว่า (ชนะแมนฯ ยูไนเต็ด 3-0, ชนะบอร์นมัธ 3-0 หรือ ชนะเวสต์แฮม 5-1 ในลีกคัพ)

 

3 นัดหลังสุดกับคริสตัล พาเลซ​ (2-1), เชลซี (1-0) และแอร์เบ ไลป์ซิก (1-0) ลิเวอร์พูลชนะด้วยผลต่างแค่ 1 ประตูเท่านั้น โดยที่แต่ละนัดจะต้องหาวิธีการในการคว้าชัยชนะแตกต่างกัน

 

ยกตัวอย่างในเกมกับเชลซี ซึ่งทีมของ เอ็นโซ มาเรสกา กำลังมาแรงและมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ในภาพรวมแล้วทีมจากลอนดอนทำได้เหนือกว่าในเรื่องของการต่อสู้ทางแท็กติก

 

แต่ลิเวอร์พูลของสลอตมีการปรับเปลี่ยนวิธีการอย่างเงียบๆ โดยสถิติที่น่าสนใจในเกมดังกล่าวคือ การเปิดบอลยาว (Long Pass) จากค่าเฉลี่ย 40 ครั้งต่อเกม (พรีเมียร์ลีก) ที่ผ่านมา ในเกมที่แอนฟิลด์นักเตะหงส์แดงหันมาวางบอลยาวถึง 61 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยมากพอสมควร

 

นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะพยายามมองหารูปแบบและวิธีการที่จะเล่นงานคู่แข่งให้ได้ไม่ว่าจะต้องเจอกับใครก็ตาม โดยไม่ยึดติดว่าจะต้องเล่นในแบบเดียวเสมอไป

 

และเช่นเดียวกับการที่ไม่มีนักเตะคนไหนแบกทีมคนเดียว (แม้ว่าผลประกอบการของนักเตะบางคนอย่างซาลาห์จะเหนือกว่าทุกคนก็ตาม) ทีมสามารถค้นพบฮีโร่คนใหม่ในแต่ละนัดได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ ในเกมกับเชลซี หรือ ดาร์วิน นูนเญซ ในเกมแชมเปียนส์ลีก กับไลป์ซิก

 

แต่สำหรับคำถามใหญ่ที่ว่า ลิเวอร์พูลดีพอที่จะเป็น ‘ทีมลุ้นแชมป์’ ร่วมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอาร์เซนอล หรือไม่นั้น

 

ตอนนี้เพิ่งจะผ่านไปแค่ 8 นัดเอง และ Matchweek ที่ 9 ในสุดสัปดาห์นี้พวกเขาก็ต้องเจอ 1 ใน 2 ทีมที่แกร่งที่สุดของอังกฤษอย่างอาร์เซนอล ซึ่งอยู่ในสถานการณ์กดดัน เพราะพลาดแพ้บอร์นมัธเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและไม่ต้องการจะโดนทิ้งห่างไปไกลกว่านี้ (ตอนนี้ตามหลังจ่าฝูงลิเวอร์พูล 4 แต้ม)

 

อีกทั้งยังมีบททดสอบอีกเยอะแยะมากมายที่ อาร์เน สลอต ต้องเจอ – ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บ กรอบ และอ่อนล้าบ้างแล้ว –

 

อย่างไรก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ว่าลิเวอร์พูลยุคใหม่นี้มีความน่าสนใจและน่าจับตามองอย่างยิ่ง

 

ไม่จำเป็นต้องเล่นมัน ไม่จำเป็นต้องเล่นดี ไม่จำเป็นต้องเล่นเนี้ยบ และไม่ต้องลุ้นทุกลมหายใจ ก็เก็บผลการแข่งที่ต้องการได้เหมือนกัน

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X