×

กระสือสยาม เมื่อโชคชะตาขีดเขียนให้เราเดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

04.04.2019
  • LOADING...

กระสือสยาม คือผลงานเรื่องใหม่ของผู้กำกับสายบู๊ ปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้เคยสร้างผลงานโกอินเตอร์มาแล้วอย่าง องค์บาก (2546) และ ต้มยำกุ้ง (2548) แต่คราวนี้เขากลับมาพร้อมกับเรื่องราวของ วีณา (พลอยยุคล โรจนกตัญญู) สาววัยรุ่นสุดแกร่งที่ต้องรับหน้าที่ปกป้อง โมรา (นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล หรือมิวนิค BNK48) น้องสาวของตัวเองจากการตามล่าของ ราตรี (รฐา โพธิ์งาม) นางพญากระสือที่มีความแค้นต่อสายเลือดของพวกเธอ และนั่นทำให้ชีวิตของสองพี่น้องคู่นี้ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันดูเหมือนว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับโมราก็ค่อยๆ ทำให้เธอได้ค้นพบความจริงของตัวเอง

 

 

สิ่งที่นับว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์และทำได้ดีมากๆ คือนักแสดงนำอย่างโจ้และมิวนิค ที่ถึงแม้ประสบการณ์ยังน้อย แต่ก็สามารถถ่ายทอดความผูกพันอันแสนเศร้าของสองพี่น้องออกมาได้เป็นอย่างดี จนทำให้เราเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าพวกเธอสามารถตายแทนกันได้จริงๆ

 

โดยเฉพาะบทวีณาของโจ้ที่เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก เธอสามารถถ่ายทอดความรักที่มีต่อน้องสาวไปพร้อมๆ กับการแบกรับสถานการณ์เลวร้ายที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างยอดเยี่ยม อาจจะดูใจร้ายกับแฟนคลับของมิวนิคอยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับว่าความโดดเด่นส่วนใหญ่ของเรื่องนี้เทน้ำหนักไปทางตัวละครวีณาของโจ้มากกว่าจริงๆ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการแสดงของมิวนิคมีปัญหา เพราะเธอเองก็สามารถสลัดภาพลักษณ์ไอดอลสาวที่แสนบอบบาง แล้วเปลี่ยนเป็นเด็กหญิงที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันแสนเศร้าได้อย่างน่าชื่นชม

 

แถมยังใจเด็ด กล้าเล่น กล้าลุยกับหลายสิ่งที่ถ้าเป็นบางคนอาจเบือนหน้าหนี ส่วนฉากที่แฟนคลับหลายคนเป็นห่วง เราพอบอกได้ว่าสามารถดูได้อย่างสบายใจ ไม่มีเรื่องใดๆ ให้ต้องกังวล

 

 

แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือองค์ประกอบโดยรอบอื่นๆ กลับไม่ค่อยเอื้อที่จะดึงความโดดเด่นของทั้งสองคนออกมาได้สักเท่าไร เพราะเรารู้สึกว่าหนังทั้งเรื่องนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลทางความรู้สึก ไล่ตั้งแต่ความไม่สมเหตุสมผลของตัวบท ไดอะล็อกที่หลุดออกจากปากของตัวละคร และความพยายามในการผูกเงื่อนปมของกระสือให้ซับซ้อน แต่หนังกลับไม่สามารถสร้างความหนักแน่นเพื่อไปให้ถึงจุดไคลแมกซ์ของเรื่องได้

 

สิ่งที่มีปัญหาอีกอย่างของ กระสือสยาม คือการนำเสนอบรรยากาศของเรื่องที่บางช่วงก็น่ากลัวเหมือนหนังสยองขวัญ แต่ขณะเดียวกันหนังก็ต้องการนำเสนอความแฟนตาซี ซึ่งนั่นทำให้บางครั้งเราก็ปรับอารมณ์ไม่ทันว่าหนังเรื่องนี้อยากจะนำเสนอเรื่องราวของ ‘กระสือที่ผ่านการตีความใหม่’ ในรูปแบบใดกันแน่ หรือถ้าบอกว่าเป็นการผสานสองสิ่งเข้าด้วยกันก็ต้องถือว่าตัวหนังยังไม่ได้ทำให้คนดูเห็นถึงความกลมกลืนในระดับที่น่าพอใจ

 

 

อีกหนึ่งเรื่องที่ค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับเราคืองานด้าน ‘เสียง’ ที่ตามปกติควรทำหน้าที่ ‘เร้าอารมณ์’ ให้อยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นใน กระสือสยาม กลับเหมือนพยายาม ‘ยัด’ ซาวด์เอฟเฟกต์ตั้งแต่เสียงกรีดร้องของบรรดาผีกระสือและดนตรีประกอบที่พุ่งเข้ามาจนทำให้หลุดโฟกัสจากเนื้อเรื่องอยู่หลายครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่หนังเรื่องนี้นำเสนอออกมาได้อย่างชัดเจนและจริงใจคือความโหดร้ายของชีวิตที่ถูก ‘บางสิ่ง’ กำหนดเอาไว้ ทำให้เราไม่สามารถเลือกเส้นทางของตัวเองได้

 

ตามปกติของมนุษย์ทั่วไป ทุกคนล้วนเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร’ ด้วยกันทั้งนั้น ต่อให้สุดท้ายแล้วเราไม่สามารถเติบโตได้อย่างที่หวัง แต่อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่เคยได้ ‘ตอบ’ คำถามนั้นๆ ด้วยตัวเองกันอยู่บ้าง

 

แต่กับวีณาและโมรา สองพี่น้องจาก กระสือสยาม (รวมทั้งอีกหลายคน) ที่โชคชะตาเล่นตลกและ ‘กำหนด’ ในสิ่งที่พวกเธอ ‘ต้อง’ เป็นเอาไว้ โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเธอได้ฝันหรือตอบคำถามที่ว่า ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร’ แม้แต่ครั้งเดียว

  

 

สิ่งที่นำเสนอออกมาในเรื่องก็คือ ‘ตลกร้าย’ ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่าทุกคนต่างมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน บางคนมีโอกาส มีความสามารถมากพอที่จะเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ

 

แต่กับบางคนที่ชีวิตติดลบตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลก พวกเขาเหลือเพียง ‘ความพยายาม’ ที่จะใช้ต่อกรกับข้อจำกัดอันแสนโหดร้ายที่เป็นอุปสรรคต่อความฝัน และหากสุดท้ายแม้ว่าจะพยายามมากเท่าไร คำตอบที่ได้ก็ไม่อาจเป็นอย่างใจคิด

 

สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือการใช้ความพยายามที่เหลืออยู่เพื่อยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน และพยายามทำทุกๆ วันให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้นเอง

 

กระสือสยาม

 

ภาพประกอบ: sahamongkolfilm.com

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising