×

กะเทย-ศาสนา-ความยุติธรรม เส้นทางที่โรยด้วยความเจ็บปวดของ ศิริน บี

30.06.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • กะเทยไม่ใช่โรค ไม่ใช่ไข้หวัด ที่เป็นแล้วจะรักษาให้หายได้ หรือไปอยู่ใกล้ใครแล้วเป็น กะเทยเป็นมาโดยธรรมชาติ เป็นมาจากหัวใจ
  • เพศทางเลือกอย่างบิวเป็นต้นไม้ที่มาจากการโดนตอนกิ่ง ตอนให้เจ็บปวดก่อน แล้วไปฝากกับกิ่งหนึ่งกิ่งใดให้ได้งอกเงยมา เพื่อจะได้เติบโตแบบคนอื่น
  • กะเทยมีอยู่ทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ห่วงโซ่ของความยุติธรรม อย่าลืมว่าเรามีเพื่อน มีพี่น้อง ที่เขาอาจซ่อนตัวจากความเจ็บปวดและความอยุติธรรม เราจึงขอทำหน้าที่นี้เพื่อดูแลพวกเขา

ส่งท้าย Pride Month เดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ ด้วยบทสัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ‘ศิริน บี’

 

เส้นทางการเติบโตที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและความเจ็บปวดหล่อหลอมกับความอดทน ทำให้เขาหรือเธอได้รู้ว่าหากจะก้าวเดินต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดคือใจของตัวเอง

 

THE STANDARD ชวนอ่านบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยความสนุก ความสุข และความเจ็บปวด บทสรุปเส้นทางชีวิตของหฤทธิ์สู่ศิริน 

 

ศิริน บี – หฤทธิ์ ยีแก้ว แตกต่างคนเดียวกัน

 

 

“ฉันเกิดมากับความเป็นละครตั้งแต่เด็ก วันที่คลอดคือเรื่องจำเลยรัก แม่ฉันรู้สึกว่าปวดท้องมากแต่ขอดูละครให้จบก่อน หลังจากนั้นก็ไปคลอด ก็เลยเป็นหฤทธิ์ จริงๆ มันควรเป็นโศรยา”

 

บิว-หฤทธิ์ ยีแก้ว เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองด้วยที่มาของชื่อ บิวเล่าอย่างติดตลกว่าชื่อที่ถูกต้องที่แม่ควรตั้งให้ควรจะเป็นโศรยา คือนางเอกของเรื่อง มากกว่าหฤทธิ์ที่เป็นชื่อของพระเอก เพราะถ้าถามว่าบิวรู้เมื่อไรว่าตัวเองเป็นเพศทางเลือก ก็คงต้องบอกว่าตั้งแต่จำความได้

 

“จริงๆ เรารู้ตั้งแต่เด็กแล้ว ตั้งแต่จำความได้ รู้สึกว่าตัวเองวาดรูปผู้หญิง รู้จักดอกชบาที่เอามาทัดหู”

 

ส่วนที่มาของชื่อ ศิริน บี เกิดขึ้นเมื่อบิวเริ่มโตและมีความคิดว่าอยากมีชื่อเป็นผู้หญิง เลยไปหาความหมายว่าชื่อไหนที่จะแปลว่าผู้หญิงสวย จึงกลายมาเป็นศิริน 

 

บิวมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน บิวเป็นคนสุดท้อง บ้านที่อาศัยอยู่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่เป็นชุมชนมุสลิม บิวเติบโตมากับพี่สาว ซึ่งในช่วงเวลานั้นสำหรับตัวเขาเองเป็นความรู้สึกที่เหงามาก การอยู่บ้านไม่มีวันไหนที่มีความสุขเลย โรงเรียนเป็นพื้นที่เดียวที่ทำให้รู้สึกว่าไปแล้วมีความสุข เพราะเวลาอยู่บ้านกับพี่สองคนต้องคอยระวังไม่ให้ญาติหรือคนในละแวกชุมชนเห็นบางอย่างที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น อาทิ การเป็นกะเทย

 

“ไม่ใช่ที่บ้านเราจะสนับสนุน พ่อแม่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ของเราตอนนั้นพยายามให้เรากลับมาเป็นเพศที่ถูกต้องตามเพศกำเนิด พ่อแม่เขาก็พยายามที่สุดให้เราได้กลับมาเป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เราก็พยายามเหมือนกันนะ เพราะคิดว่าวันหนึ่งมันจะเปลี่ยนได้”

 

โรงเรียนของเรา (ไม่) น่าอยู่ บาดแผลแรกที่แสนฝังลึก

 

 

บิวเป็นชาวมุสลิม เรียนหนังสือที่โรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีเด็กนักเรียนประมาณ 300 คน บิวเล่าว่า เขาเองเป็นเด็กหัวโปก (เพศทางเลือกที่อยู่ระหว่างวัยเด็กกำลังโตเป็นวัยรุ่น) หรือเด็กกะเทยเบอร์สุดคนหนึ่ง ที่จะชอบชวนเพื่อนๆ ไปเต้นที่ก๊อกน้ำในโรงเรียน ไปแอบเดินแบบประกวด แต่แล้ววันหนึ่งก็มีจุดเปลี่ยน 

 

ในช่วงพักกลางวันระหว่างเดินออกจากโรงอาหารหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ

 

“มันมีเสียงตามสาย เพลงที่เปิดชื่อว่า ประเทือง ‘ว้าย ว้าย นี่มันไอ้ประเทืองนี่หว่า’ เราเดินออกมาแล้วมันเหมือนจะถึงท่อนฮุกพอดี เราเห็นว่าคุณครูคนหนึ่งเรียกเพื่อนๆ เข้ามายืนบริเวณนั้น แล้วถึงท่อนฮุกครูให้เพื่อนทุกคนชี้มาหาเรา “ว้าย ว้าย นี่มันไอ้ประเทืองนี่หว่า”

 

จนถึงตอนนี้บิวบอกว่ายังจำสีหน้า จำช่วงเวลานั้นได้ทั้งหมด มันเจ็บปวดมาก พยายามวิ่งไปหาเพื่อนคนอื่นๆ เพื่อนก็ผลักออกแบบไม่อยากให้ใกล้ เหตุการณ์นั้นมันเป็นแผลแรกๆ ในชีวิต จากโรงเรียนที่เคยสนุกก็ไม่อยากไปโรงเรียน เพราะกว่าเพลงนั้นจะเลิกฮิตมันนานมาก และหลังจากวันนั้นทุกพักกลางวันก็ไม่กล้าไปโรงอาหาร ได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องเรียน

 

บิวอธิบายว่า ไม่ได้กลัวที่จะถูกเพื่อนๆ ทำร้าย แต่แค่ไม่ชอบความรู้สึกว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ และนี่เป็นครั้งแรกๆ ในชีวิตที่ได้รู้จักกับคำว่าอดทน คืออดทนให้ เพลงนั้นเลิกฮิตสักที

 

โลกที่มีความสุขที่สุดตอนเด็กของบิวคือการอยู่ในห้องนอนฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์ ทั้งสองสิ่งมีอิทธิพลและมีผลกับชีวิตบิวมาก ตอนฟังเพลง เพลงจบก็จะรู้สึกเหมือนเกิดภาพยนตร์อยู่ในหัว เหมือนเป็นเด็กที่เพ้อเจ้อ-เพ้อฝันตั้งแต่เด็ก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือโลกเดียวที่บิวรู้สึกว่ามีความสุข 

 

จุดเปลี่ยนในชีวิตที่ทำให้บิวอยากหลงลืมตัวตน อยากหลงลืมสิ่งที่เป็น คือ วันหนึ่งมีเพื่อนมาล้อเลียนเรื่องเพศหนักมาก จนถึงขั้นมีการทำร้ายร่างกายเพื่อนจนแขนหัก จากนั้นบิวกลับมาบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้วชีวิตแบบนี้ เดี๋ยวขึ้น ม.1 จะเป็นผู้ชาย จะเปลี่ยนชื่อเล่น จะไม่ให้ใครรู้ว่าเคยเป็นกะเทยมาก่อน

 

บิวได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนศาสนาที่เป็นลักษณะโรงเรียนเอกชน ซึ่งนำการศึกษาภาษาไทยมาร่วมกับการเรียนรู้ศาสนาอิสลาม เพื่อปลูกฝังให้เป็นมุสลิมที่ดี

 

การไปเรียนปอเนาะทำให้บิวได้ค้นพบอะไรบางอย่างว่า ในโรงเรียนศาสนาที่เคร่งครัดบิวได้เจอเพื่อนที่เป็นแบบเดียวกันจากหลายๆ พื้นที่ จนในที่สุดก็เกิดการรวมตัวกับเพื่อนที่เป็นเพศแบบเดียวกัน เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืนบิวกับเพื่อนจะชวนกันเต้นและแต่งหน้า

 

“เราเชื่อว่าการเป็นกะเทยของเราตั้งแต่เด็กเป็นเสียงที่ดังอยู่ตลอด แต่เขาไม่เคยได้ฟังว่ามันคืออะไร เขาแค่รู้สึกว่าทำอย่างไรก็ได้ให้บิวหายกลับมาเป็นปกติ เขาเชื่อว่าเราไม่ปกติในตอนนั้น”

 

จากนั้นเรื่องบิวกับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนปอเนาะถึงหูที่บ้าน แม่ของบิวเลยกังวลว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอาจสร้างปัญหา จึงขอให้กลับมาโรงเรียนปกติ บิวตัดสินใจดรอปเรียนตอนอยู่ ม.1 ไปอยู่กับกลุ่มเพื่อนซิ่งรถ เริ่มเรียนรู้ ‘ทุกอย่างที่ผู้ชายเป็นสนุกกับเพศชายที่สร้างขึ้น’ เพื่อหลบเลี่ยงความเจ็บปวดบางอย่างตอนเด็ก

 

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อบิวได้กลับไปเรียนมัธยมศึกษาจนถึงระดับปริญญาตรี บิวจึงเลือกที่จะหลงลืมบิวคนเก่า เก็บไว้ในตู้ ซ่อนมันไว้

 

“เราอยากให้พ่อแม่มีความสุข ตอนนั้นเราก็เชื่อว่าเราผิดปกติหรือเปล่า เราจะกลับมาได้ไหม จะกลับมาเป็นผู้ชายได้ไหม”

 

ที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เซฟโซนท่ามกลางพายุฝน

 

 

ถือเป็นความโชคดีในความเจ็บปวด เพราะบิวมีคุณน้าที่อยู่ข้างกาย สำหรับบิวต่อให้เจอเรื่องร้ายอะไรมา บิวจะมีคุณน้าคนหนึ่งที่แม้จะเป็นผู้พิการเดินไม่ได้ ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ แต่คุณน้าของบิวพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเองและเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นเกราะกำบังบางอย่างแสนพิเศษให้บิว

 

“ต่อให้โลกไม่ยุติธรรมกับเรา แต่มันจะมีพื้นที่เล็กๆ ให้เราเสมอ เราไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นจะมีคุณน้าไว้ในเซฟโซนตรงนั้นหรือเปล่า”

 

และคุณน้าคนนี้ได้สอนให้บิวเริ่มเขียนจดหมายน้อย บิวรู้จักการเขียนจดหมายหานายกรัฐมนตรี ตอนเด็กเวลาที่นายกฯ เปลี่ยน สิ่งที่ตื่นเต้นสำหรับบิวคือน้าจะบอกให้เขียนข้อความ ซึ่งบิวก็จะเขียนตาม มีทั้งอวยพรและแสดงความยินดี 

 

ที่ผ่านมาบิวเล่าว่ามีโอกาสได้เขียนจดหมายไปถึงอีกหลายๆ คน หลายๆ หน่วยงาน และหลายๆ รายการโทรทัศน์ตลอดจนรายการวิทยุ จนวันที่จดหมายของเขาได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง บิวได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น เพื่อเปิดโอกาส สร้างประสบการณ์ และเติมเต็มความฝัน ให้เด็กที่สามารถเรียกได้ว่าไกลปืนเที่ยง

 

“เรารู้แล้วว่าที่สุดแล้วเวลาเราอยากเป็นอะไร สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือตั้งใจ เราต้องหาโอกาสให้ตัวเอง ทุกคนมีโอกาสหมด แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กยังไปไม่ถึงตรงนั้นคือเขาอาจยังไม่รู้สมการของโอกาส มันคือการอดทนและพยายาม”

 

หลังมีโอกาสจัดรายการวิทยุ บิวก็เกิดความคิดว่าอยากเป็นนายแบบ ก็ได้ทดลองเรื่อยมา จากนั้นได้เรียนรู้บทบาทต่างๆ ตามที่ใจเชื่อ เมื่อได้ทำงานเบื้องหน้า ก็ได้ไปร่วมโครงการหนึ่งของ TK Park ทำให้ได้เจอคนแบบเดียวกัน เริ่มค้นหาตัวเอง และได้เป็นพิธีกร 

 

ในช่วงเวลานั้นบิวมีความคิดว่า ถ้าได้ออกทีวีมากขึ้นเรื่อยๆ จะให้คนจำตัวเองแบบนี้ไม่ได้ และรู้สึกนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ เราควรจะได้อยู่หน้าจอทีวีหรือที่ไหนสักที่ที่เป็นเรามากกว่า 

 

ก้าวของวันนี้ต้องสะดุดล้มให้เจ็บปวด เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ฉันจะแข็งแรง

 

 

วันหนึ่งบิวไปบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัด แล้วเอาวิกผมของเพื่อนมาลองใส่ ความรู้สึกชั่ววินาทีนั้นบิวเล่าว่าเหมือนได้ตัวเองกลับมา และคิดว่าจากนี้จะเกิดอะไรไม่รู้ ก็จะถ่ายภาพตัวเองที่ใส่วิกลงโซเชียล อย่างน้อยรูปนี้จะทำให้บิวกลับมาเป็นตัวเอง ลองดูว่าจะเป็นอย่างไร ใครจะว่าเราไหม ที่บ้านจะเป็นอย่างไร

 

บิวบอกว่า เรื่องนี้แม้สุดท้ายมันจำเป็นต้องเจ็บปวด ถ้าเปรียบตัวเองเป็นเหมือนต้นไม้ เพศทางเลือกอย่างบิวเป็นต้นไม้ที่มาจากการโดนตอนกิ่ง ตอนให้เจ็บปวดก่อน ต้องไปฝากกับกิ่งหนึ่งกิ่งใดให้ได้งอกเงยมา เพื่อจะได้โตแบบคนอื่น

 

“ถึงจุดหนึ่งของชีวิตมันจำเป็นนะที่ต้องให้ที่บ้าน คนรอบตัว หรือใครก็แล้วแต่ เจ็บปวดไปกับเรา เพื่อให้มันหาย เพื่อให้เราได้เป็นตัวเอง”

 

แม่ร้องไห้ ทุกคนเสียใจ พ่อก็ผิดหวัง หลังจากที่บิวลงภาพนั้นไป บิวทำได้เพียงบอกว่าขอกลับมาเป็นตัวเอง ตอนนี้เขาเรียนจบ มีงานทำ มีทุกอย่างที่รู้สึกว่าเด็กดีคนหนึ่งจะทำให้พ่อแม่ได้ในตอนนั้น บิวพยายามพูดความจริงกับแม่ พูดเรื่องเพศ พูดเรื่องความรัก พูดเรื่องการเลือกสีลิปสติก ขอให้แม่ซื้อชุดชั้นในให้ วันเวลาผ่านไป เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าคนสุดท้ายที่จะอยู่ข้างเราคือพ่อกับแม่

 

“คิดมาตลอดว่าถ้าเป็นแบบนี้แม่จะไม่รัก เป็นแบบนี้พ่อจะไม่รัก เราพยายามห่างออกไปให้ไกลที่สุดจากตัวตนนั้น แต่วันหนึ่งคนที่จูงมือเรากลับมาคือพ่อกับแม่เรา”

 

บิวมีโอกาสได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการเป็นผู้สื่อข่าวในสายงานตำรวจที่ Police TV ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเขารู้สึกว่าสื่อมีอิทธิพลกับเขามาตั้งแต่สมัยยังเด็ก เพลง ภาพยนตร์ การรายงานข่าว เป็นเรื่องที่อยู่รอบตัว และเขาเชื่อมาเสมอว่าสักวันเขาก็จะต้องทำได้ 

 

“เพศอย่างเรามันจะเป็นไปได้ไหมที่จะเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรมที่จะไปบอกว่าจริงๆ แล้วเรื่องมันเป็นแบบนี้ ข่าวนี้เป็นแบบนี้ มันท้าทายกับตัวเองมาก บิวคิดว่าเพศแบบเราหรือเพศไหนก็แล้วแต่ควรได้ทำอะไรที่สมัครใจ”

 

บิวบอกว่าการที่ได้เข้ามาทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวสายงานตำรวจ ความตั้งใจที่ผลักดันให้เขามาได้ถึงจุดนี้คือ การอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยเหลือเพื่อน พี่ น้อง ที่เป็นเพศทางเลือก ในเมื่อมีตำรวจผู้ชายสำหรับดูแลเพศชาย มีตำรวจผู้หญิงสำหรับดูแลเพศหญิง เขาเองก็ขอเป็นเพศทางเลือกไว้สำหรับดูแลและปกป้องเรียกร้องสิทธิ์ของคนกลุ่มเดียวกัน

 

“เราอย่าลืมว่าพี่น้องหลายคนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม หลายคนที่เจ็บปวดแล้วเอาตัวเองไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง ให้ดูว่ากะเทยมันมีอยู่ในทุกที่แม้แต่หนึ่งในห่วงโซ่ของความยุติธรรม ถ้าทุกคนเข้าใจเรื่องเพศจริงๆ จะรู้ว่ากะเทยไม่ใช่ไข้หวัดที่เป็นแล้วจะหายหรือไปติดมาจากใคร คนที่เป็นทุกคนล้วนเป็นเอง”

 

บิวเล่าว่าปัจจุบันการเป็นตำรวจอาจยังมีเงื่อนไขบางประการที่ทำให้กลุ่มเพศทางเลือกไม่สามารถรับราชการตำรวจได้โดยตรง แต่หากใครที่มีความตั้งใจ เมื่อพิจารณาให้ดีก็จะมีช่องทางให้สามารถนำตัวเองเข้าไปอยู่ในกระบวนการยุติธรรมนั้นได้ อย่างเช่น ตัวเขาเองที่ได้มาเป็นผู้สื่อข่าวของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในอนาคตข้างหน้าถ้ามีโอกาสบิวเองอยากสร้างการมีส่วนร่วมให้กับเพศทางเลือก ให้ทุกคนที่ต้องการพื้นที่พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันด้วยการสร้างแฮชแท็ก #TUBTOEY หรือ #ทัพเทย คอมมูนิตี้เล็กๆ ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน 

 

ส่วนใครที่มองว่ากลุ่มเพศทางเลือกมีตัวเลือกไม่กี่อาชีพ บิวบอกว่าทุกอาชีพล้วนมีคุณค่าให้กับคนที่ตั้งใจทำมันด้วยความรักและจิตวิญญาณ

 

“อาชีพนางโชว์ไม่ผิด เราต้องขอบคุณพี่ๆ ที่คอยสร้างสีสันให้แผ่นดินแห่งนี้ ถ้าเราไม่มีพี่ๆ กลุ่มแนวหน้าเหล่านั้นที่ออกมาแสดงว่าเรามีตัวตน มันก็อาจไม่ได้ดึงใจดันใจกะเทยเด็กๆ ที่อยากเป็นแบบนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนางโชว์ ช่างแต่งหน้า หรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่ผิดเลย ขอแค่กล้าที่จะเป็นตัวเอง”

 

 

ถ้าวันนี้มีบิวเวอร์ชันเด็กน้อยที่หลงทางอยู่ อยากจะบอกอะไร?

 

“ไม่บอก เพราะถ้าบอกก็ไม่ใช่ความลับของนางฟ้า”

 

บิวพูดติดตลกว่า เป็นเพศแบบนี้มันไม่ง่าย กว่าเราจะผมยาวเราต้องผ่านความหัวโปก ช่วงผมกึ่งสั้นกึ่งยาวแล้วจะไปเข้าห้องน้ำ เข้าห้องน้ำชาย ผู้ชายเขาก็มองเราแปลกๆ เข้าห้องน้ำผู้หญิง ผู้หญิงก็แซะว่าห้องน้ำผู้ชายฝั่งโน้นค่ะ แล้วเราจะไปเข้าที่ไหนกว่าผมฉันจะยาว 

 

บิวอยากให้เด็กทุกคนตั้งใจเรียน การเรียนจะพาเราไปในที่ที่เราอยากไปได้ เด็กบางคนอาจรู้สึกถูกกดทับ โดนปฏิเสธจากครอบครัว น้องอาจเอาเวลาพวกนั้นไปแสวงหาโลกของตัวเอง แต่อยากบอกน้องๆ ว่าอดทน ทำในสิ่งที่มันถูกต้อง แล้ววันหนึ่งหนูจะเป็นกะเทยที่มีพื้นที่ หนูจะเป็นเพศที่หนูเลือกเอง หนูจะเป็นหนูในแบบที่หนูอยากเป็น วันหนึ่งเราจะลดช่องว่างของคำว่าหลากหลายและความแตกต่าง

 

“อยากเป็นอะไร เอาตัวเองไปหาโอกาส สุดท้ายแล้วถ้าเขาจะไม่ให้เราทำเพียงเพราะเราเป็นกะเทย เราก็ต้องกลับมาทำให้เราเก่ง เราต้องต่อสู้เพื่อให้วันต่อไปเป็นวันที่ดีของตัวเราเองและคนที่อยู่ข้างหลังเรา”

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising