×

เลือกตั้ง 2566 : 3 ว่าที่ ส.ส. ก้าวไกล น้อมรับคำติชม พร้อมปรับปรุงตัวเพื่อให้ประชาชนภาคภูมิใจ ย้ำความเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา วางหมุดหมายก้อนแรก ปฏิรูปกองทัพ-นำทหารออกจากการเมืองไทย

20.05.2023
  • LOADING...

วานนี้ (19 พฤษภาคม) 3 ผู้สมัครพรรคก้าวไกล ได้แก่ สิริลภัส กองตระการ ว่าที่ ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 14 บางกะปิ, รักชนก ศรีนอก ว่าที่ ส.ส. กรุงเทพฯ เขต 28 บางบอน-จอมทอง-หนองแขม และ กรุณพล เทียนสุวรรณ ว่าที่ ส.ส. บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 21 ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงความรู้สึก และการเตรียมพร้อมในการเป็น ส.ส. สมัยแรก รวมถึงความเปลี่ยนแปลงที่พรรคก้าวไกลจะให้กับประชาชนเมื่อเป็นรัฐบาล

 

สิริลภัสกล่าวว่า ดีใจที่ได้เข้ามาทำงานรับใช้ประชาชนในพื้นที่ อาจมีกระแสที่ต่อต้านจากคนในวงการบันเทิง และความกดดันที่ไม่ต้องการให้เข้าสู่เวทีการเมือง แต่ตนเองเชื่อว่านั่นคือ ‘ราคาที่ต้องจ่ายให้กับประเทศไทยที่จะมีการเปลี่ยนแปลง’ เพราะประเทศรอไม่ไหวแล้ว แม้อาจเจอปัญหาหลังการออกจากวงการบันเทิงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบ้างก็ตาม

 

โดยสิริลภัสยอมรับว่าต้องปรับตัวเรื่องการสื่อสาร เพราะไม่ใช่การสื่อสารด้วยความคิดของตนเอง แต่เป็นการสื่อสารในฐานะ ส.ส. ซึ่งไม่มีใครที่ไม่เคยผิดพลาดในอดีต หากมีอะไรติชมก็น้อมรับฟังทุกความคิดเห็น

 

ด้านรักชนกกล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่จะได้ทำงานในฐานะ ส.ส. ซึ่งเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองได้ทุ่มเทหาเสียงมาตลอดไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่จะได้รับความไว้ใจจากประชาชนในพื้นที่ 

 

ฉะนั้นหากใครที่เคยดูถูกเสียงประชาชนในสื่อสังคมออนไลน์ถือว่าพลาดมาก รวมถึงหัวคะแนนธรรมชาติที่พรรคได้มาเสมือน ‘ลมใต้ปีกที่ช่วยพยุงขึ้นมา และไม่ทันตั้งตัว’ ซึ่งพรรคเคารพทุกๆ เสียงของประชาชน

 

สำหรับการเข้าสู่สนามการเมือง รักชนกยืนยันว่าต้องประนีประนอมกับตนเอง ซึ่งสิ่งที่พรรคได้แสดงความหนักแน่นมาตลอดคืออุดมการณ์และความมั่นคง ฉะนั้นก็ต้องปรับตัวให้มีวุฒิภาวะมากขึ้น เพื่อทำให้ประชาชนในเขตมั่นใจว่าคนคนนี้จะเป็นผู้นำของเขตอย่างสมศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจ

 

ทั้งนี้ ขอน้อมรับคำติชม และพร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพตลอดเวลา ส่วนเรื่องราวในอดีตที่อาจจะทำอะไรไม่ยั้งคิดก็ต้องปรับตัวเรื่องการสื่อสารและพฤติกรรมให้เหมาะสมกับตำแหน่ง ส.ส.

 

ส่วนกรุณพลได้พูดถึงกระแสที่เพื่อนร่วมวงการบันเทิงเคยแบนตนเองจากการแสดงออกทางการเมืองในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมาว่า ทุกวันนี้ยังถูกคนในวงการบันเทิงตำหนิและดูถูกอยู่ 

 

เนื่องจากตนเองมีความคิดที่เปลี่ยนไปจากอดีตที่เคยร่วมกับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) แต่ทุกวันนี้มีผู้คนที่สนใจในภาวะความเปลี่ยนแปลง ทำให้ตนเองรู้สึกได้ว่าต้องการความเปลี่ยนแปลงในประเทศนี้เช่นกัน 

 

กรุณพลเผยถึงสิ่งสำคัญที่ต้องปรับตัวทางการเมืองคือการสื่อสาร เพราะหลายๆ คนก็ตำหนิเช่นกันว่าควรใช้เหตุและผลในการสื่อสาร ซึ่งก็พยายามปรับตัวมากขึ้น และพร้อมที่จะเป็นคนที่ให้ข้อมูลกับทุกฝ่าย

 

ขณะที่สโลแกน ‘กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม’ ที่พรรคพยายามสื่อเรื่องความเปลี่ยนแปลง รักชนกมองว่า สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงคือประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีที่มีวุฒิภาวะ อีกทั้งจะสร้างโครงสร้างที่ทหารจะไม่สามารถกลับมาทำรัฐประหารได้อีก เช่น ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เลิกการนำทหารไปเป็นทหารรับใช้ เลิกการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพในกองทัพ และนำธุรกิจของกองทัพกลับคืนสู่ประชาชน

 

รักชนกย้ำอีกว่า สิ่งที่พูดอาจไม่สามารถทำได้เร็วภายใน 100 วัน 1 ปี หรือ 4 ปี ซึ่งเชื่อว่าประชาชนก็เข้าใจ แต่พรรคก้าวไกลจะวางหมุดหมายก้อนแรกว่าจะทำสิ่งนี้อย่างจริงจัง รวมถึงเรื่องอื่นๆ เช่น รัฐสวัสดิการ ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม 

 

อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่าหมุดหมายก้อนแรกที่พรรคจะทำคือปฏิรูปกองทัพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้นำทหารออกจากการเมือง และยกเลิกเกณฑ์ทหาร 

 

ส่วนสิ่งที่จะทำทันทีหลังได้รับตำแหน่งคือการกระจายอำนาจไปยังทุกจังหวัดแบบประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้ทุกจังหวัดสามารถมีรายได้ในการบริหารจัดการด้วยตนเอง และไม่ต้องรองบประมาณส่วนกลางอีกต่อไป

 

ด้านสิริลภัสเผยว่า พรรคก้าวไกลจะมาสร้างวัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่ ซึ่งคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที แต่จะเป็นการวางระบบต่างๆ เพื่อให้คุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนยั่งยืน 

 

หลายๆ คนปรามาสพรรคก้าวไกลว่าไม่สามารถได้คะแนนเสียงจากประชาชนมาก อย่างไรก็ตาม พรรคได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถทำได้จริง อิงจากผลงาน 4 ปีในพรรคฝ่ายค้าน ดังนั้น ไม่ว่าพรรคก้าวไกลจะได้หรือไม่ได้เป็นรัฐบาลต่อในอนาคต การวางรากฐานและเปลี่ยนแปลงจากนี้ของพรรคจะทำให้ประเทศเกิดความยั่งยืนอย่างไม่ฉาบฉวยอีกต่อไป

 

สำหรับกรุณพลได้มองการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยว่า พรรคจะมีส่วนร่วมกับประชาชนมากขึ้น โดยผ่านนโยบาย 100 วันแรกที่พรรคเคยพูดไป อีกทั้งจะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงหรือ MOU ที่จะไม่ยึดติดกับตำแหน่งของรัฐมนตรี แต่จะใช้รัฐมนตรีทำนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาล โดยไม่ต้องคำนึงถึงระบบโควตาเหมือนในอดีต

 

ส่วนการที่หลายๆ คนโจมตีว่า ‘นโยบายก้าวไกลสุดโต่งเกินไป’ กรุณพลชี้แจงว่า ถ้ามองในมุมประเทศไทยอาจสุดโต่ง เพราะหยุดอยู่กับที่มา 8-9 ปี แต่จริงๆ แล้วคือเรื่องปกติของทั่วโลก 

 

“ประเทศไทยมีขนาดกองทัพที่ใหญ่มาก หากเทียบประเทศที่เจริญแล้ว หรือไม่มีภัยความมั่นคง เพราะฉะนั้นการลดกำลังทหารไม่ใช่ว่าไม่ให้มีทหาร แต่ลดลงมาแค่ประมาณ 50,000-60,000 คน จาก 3 แสนกว่าคนก็จะเหลือ 2 แสนปลาย ทำให้กำลังทหารประจำการจะเพียงพอกับการใช้งาน ไม่ต้องมีกลุ่มยอดผีหรือทหารรับใช้ที่นำมาฝึกแล้วปล่อยกลับบ้าน แต่เอาเงินเดือนของทหารเกณฑ์ไปเก็บไว้กับผู้มีอำนาจ สิ่งแบบนี้กับประเทศที่เจริญแล้วไม่มีใครทำกัน ซึ่งคนที่บอกว่าสุดโต่งนั่นก็คือพวกที่เสียประโยชน์นั่นแหละ” กรุณพลกล่าวปิดท้าย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising