×

ศิริกัญญา ห่วงวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทำราคาน้ำมันพุ่ง กระทบประชาชน ชี้มูลเหตุ 2 มาตรการจากรัฐตรึงราคาเอาไว้ไม่อยู่

โดย THE STANDARD TEAM
04.03.2022
  • LOADING...
ศิริกัญญา ห่วงวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทำราคาน้ำมันพุ่ง กระทบประชาชน ชี้มูลเหตุ 2 มาตรการจากรัฐตรึงราคาเอาไว้ไม่อยู่

วันนี้ (4 มีนาคม) ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความกังวลปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่จะมากขึ้นสืบเนื่องจากกรณีปัญหาสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ว่าส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกปรับสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อวานนี้ (3 มีนาคม) น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้นมาปิดที่ 114.59 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2554 ขณะราคาน้ำมันดิบเบรนต์ (BRENT) พุ่งขึ้นมาปิดที่ 119.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ยังไม่ต้องพูดถึงราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาอาหารสัตว์ และปุ๋ย ที่ตบเท้าเรียงแถวกันขึ้นพร้อมๆ กัน ย่อมกระทบกับเศรษฐกิจไทยและค่าครองชีพประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม

 

“ถึงแม้ว่าสงครามอาจไม่ยืดเยื้อยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าจะจบลงในรูปแบบใด และการแซงก์ชันหรือคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจะจบลงพร้อมกับสงครามหรือไม่ ราคาพลังงานและสินค้าต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติเมื่อใด รัฐบาลยังคงมีเป้าหมายที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ 30 บาท/ลิตร และแย้มมาว่าจะอุดหนุนราคาน้ำมันเบนซินไปพร้อมๆ กัน แต่ ณ วันนี้ ปั๊มต่างๆ ปรับราคาดีเซลขึ้นไปเกิน 30 บาทกันหมดแล้ว แม้จะเป็นเป้าหมายที่ดี แต่เริ่มเกิดความไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไร และยังมีคำถามคาใจที่ยังไม่มีคำตอบคือจะเอาเงินมาจากไหน ประชาชนส่วนหนึ่งยังเฝ้ารอคำตอบชัดๆ ถึงมาตรการ” ศิริกัญญากล่าว

 

นอกจากนี้ ศิริกัญญายังกล่าวต่อไปว่า มาตรการที่มีอยู่ตอนนี้มี 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือใช้เงินจากกองทุนน้ำมัน ซึ่งติดลบอยู่ 20,000 ล้านบาทแล้วในปัจจุบัน โดยข่าวแว่วมาว่าจะใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนเพิ่มอีกเป็น 4 บาทต่อลิตร ในสถานการณ์ที่กองทุนยังกู้เงินจากสถาบันการเงินไม่ได้ เนื่องจากติดปัญหาการเปลี่ยนสถานะจากนิติบุคคลเป็นองค์การมหาชน จึงยังไม่ได้รับรองบัญชี ทำให้วงเงินที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เคยอนุมัติไว้ 30,000 ล้านบาท ยังไม่มีเม็ดเงินจริงๆ เข้ากองทุนเลยแม้แต่บาทเดียว ยังคงต้องลุ้นกันต่อว่าจะกู้ได้เมื่อไร เพราะถึงแม้จะเปลี่ยนสถานะได้ แต่กว่าจะกู้ผ่านก็ยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 สัปดาห์ สำหรับธนาคารในการดำเนินการ ข้อจำกัดคือเงินที่ใช้อุดหนุนอยู่จะตกราว 8,000 ล้านบาทต่อเดือน หากกู้เพิ่มได้จริง 30,000 ล้านบาท ก็ไม่เพียงพอ ส่วน ครม. ยังมีช่องให้อนุมัติเพิ่มได้อีกเพียง 10,000 ล้านบาท หลังจากนี้หากจะกู้เพิ่มคงต้องแก้กฎหมายกองทุนน้ำมันที่กำหนดเพดานการกู้ไว้

 

ส่วนที่สองคือการลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง 3 บาท แต่ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดลงเพียง 2 บาท อีก 1 บาท นำไปโปะกองทุนน้ำมัน คาดว่าจะทำให้กรมสรรพสามิตสูญเสียรายได้รวม 17,100 ล้านบาท ในช่วง 3 เดือน หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 5,700 ล้านบาท ทั้งนี้ มาตรการจะจบลงในเดือนพฤษภาคม 2565 แต่หากสถานการณ์ยืดเยื้อก็อาจจะต้องยืดมาตรการนี้ออกไปอีก เท่ากับจะมีเลือดไหลออกจากคลังเพิ่มอีกโดยที่จะกระทบกับเป้าการจัดเก็บรายได้และงบประมาณในที่สุด

 

“สาเหตุมาจากงบปี 2565 ถูกตั้งไว้แบบตึงมาก แบบกู้จนเต็มเพดานแล้ว กู้มากไปกว่านี้ไม่ได้ตามกฎหมาย จากนี้งบประมาณจะได้ใช้จริงมากน้อยแค่ไหนขึ้นกับว่าจะเก็บภาษีได้ตามเป้าหรือไม่ หากจัดเก็บภาษีพลาดเป้าแม้แต่ 1 บาท จะเท่ากับงบประมาณที่ใช้ได้ลดลง 1 บาททันที

 

“ถ้าจะต้องลดภาษีสรรพสามิต 3 บาท มากกว่า 3 เดือน หรือต้องลดภาษีสรรพสามิตไปมากกว่า 3 บาท เพื่ออุ้มน้ำมันดีเซล ก็ต้องรอเพียงปาฏิหาริย์ว่าเศรษฐกิจปี 2565 จะกลับมาฟื้นตัวดีแล้วเก็บภาษีอื่นได้เพิ่ม จึงจะไม่มีปัญหาตอนปิดหีบงบประมาณ แต่ความหวังก็ดูยิ่งริบหรี่จากสถานการณ์ค่าครองชีพในปัจจุบัน ปัจจุบันเงินคงคลังที่เหลืออยู่ไม่มากแล้ว ณ ไตรมาส 1 ปี 2565 ลดลงเหลือราว 300,000 ล้านบาท หากสุดท้ายปิดหีบไม่ลง ก็คงต้องลดงบประมาณรายจ่ายลง รัฐบาลต้องตอบคำถามกับประชาชนให้ได้ว่าจะไปตัดงบส่วนไหนก่อน โครงการไหนจะโดนตัด โดนเลื่อน หรือต้องให้ไปรอลุ้นกันหน้างาน

 

“มาตรการทั้ง 2 ส่วน ไม่น่าจะเป็นทางออกให้กับรัฐบาลที่จะตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ 30 บาทได้ตลอดรอดฝั่ง นับว่าเป็นโจทย์ที่หิน ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งเหยิง และสะดุดขาตัวเองในที่สุด ฉะนั้นรัฐควรเริ่มจากการเขียนกฎหมายเรื่องกองทุนน้ำมันใหม่โดย สนช. ที่กลัวผีประชานิยม เคร่งครัดเรื่องการกู้ แต่กลับหละหลวมเรื่องการเก็บเงินเข้ากองทุนในยามที่น้ำมันถูก รวมไปถึงกฎหมายบริหารหนี้สาธารณะที่สร้างข้อจำกัดในการกู้เงินเพิ่มแม้ในยามที่ประเทศเกิดวิกฤต ก็ได้ถูกหยิบยกมาเสนอให้แก้ไขหลายครั้งแต่รัฐบาลกลับเมินเฉย ปิดประตูทางรอดทางการคลังของประเทศอย่างในวันนี้” ศิริกัญญากล่าวในที่สุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising