×

นักวิเคราะห์ฟันธง! ปีหน้า SET ไต่สู่ระดับ 1,750-1,800 จุด ขานรับเศรษฐกิจไทยโต กำไร บจ. แข็งแกร่ง เชื่อวิกฤตเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยสูงผ่านพีคแล้ว

30.10.2022
  • LOADING...

นักวิเคราะห์ 3 โบรกเกอร์ประสานเสียง SET ปีหน้าขาขึ้น คาดดัชนีไต่ระดับสู่กรอบ 1,750-1,800 จุด ขานรับเศรษฐกิจไทยโตต่อ, กำไร บจ. แข็งแกร่ง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ฉุดรั้งดัชนีในปีนี้ ทั้งภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยระดับสูง ดอลลาร์แข็งค่า ใกล้จะผ่านจุดพีคแล้ว

 

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2566 คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ดัชนีจะอยู่ในกรอบที่ระดับ 1,690-1,800 จุด โดยมีปัจจัยบวกหนุนมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 3.6% เพิ่มขึ้นจากในปี 2565 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.2%


ข่าวที่เกี่ยวข้อง


สาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโต เป็นผลจากการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและภาคบริการ ซึ่งแตกต่างกับภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวและถดถอย ส่งผลให้ความน่าสนใจของตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมถึงไทยจะได้รับความน่าสนใจจากกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติได้มากกกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีกระแสเงินลงทุนต่างชาติยังเป็นบวกไหลเข้าต่อเนื่อง

 

สำหรับกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุน และเป็นหุ้นกลุ่มบิ๊กแคปที่น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มบริโภคภายในประเทศ เช่น หุ้นค้าปลีกขนาดใหญ่และขนาดกลาง-เล็ก หุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มที่ได้ Anti Commodities ที่จะฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ราคาพลังงานในตลาดโลกเริ่มปรับตัวลดลงในปีหน้า ขณะที่หุ้นขนาดเล็กที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่เป็นธีมการลงทุนสอดรับกับธีมการบริโภคในประเทศ เช่น AU, TNP และ SPA

 

ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อผ่านจุดพีค ช่วยหนุนตลาด

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ คาดการณ์เป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 1,750 จุด ขณะที่ในช่วงสิ้นปี 2565 จะอยู่ที่ระดับ 1,690 จุด โดยมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้จะแกว่งตัวออกด้านข้าง หลังจากที่คาดการณ์ว่าผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งละ 0.75% ซึ่งจะทำให้สิ้นปีอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ 4.75%

 

ขณะเดียวกันมองว่าในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะถึงจุดพีคที่ระดับ 5% เหมือนในครั้งเมื่อปี 2549 ที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ 5.25% ดังนั้นจึงมองว่าดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ใกล้จะถึงจุดพีคแล้ว และจากนั้นคาดว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2566 ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะแสดงท่าทีปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ซึ่งเมื่อไรที่สหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจกำลังดีอยู่ ก็จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แบบต่อเนื่อง และจะส่งผลให้ค่าเงินนดอลลาร์สหรัฐจะผ่านจุดพีคไปด้วยเช่นกัน จึงเป็นจุดที่ทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย

 

ด้านของปัจจัยการเลือกตั้งก็มีผลดีต่อตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน โดยหากผลการเลือกตั้งออกมาในทิศทางที่เป็นแบบแลนด์สไลด์ หรือแบบมีพรรคร่วม 2-3 พรรคสามารถที่จะควบคุมเสียงส่วนใหญ่ได้ ก็จะส่งผลบวกต่อตลาดทุน ซึ่งจะเห็นได้จากสถิติที่มีการเลือกตั้งที่ผ่านมา 5 ครั้ง พบว่าดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ mai จะแกว่งตัวออกด้านข้าง แต่หลังจากนั้น 9 เดือนดัชนีจะให้ผลตอบแทนกว่า 17% เช่นเดียวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก 4-5%

 

สำหรับความเสี่ยงทางด้านเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และจีนกับไต้หวัน ที่จะมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จะเป็นตัวเร่งให้มีการกระจายเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอนของความขัดแย้งออกมาจากกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเม็ดเงินที่กระจายการลงทุนออกมาจากไต้หวัน

 

กำไร บจ. ปี 2566 โต 10% 

ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2566 จะอยู่ที่ระดับ 1,720 จุด โดยคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตขึ้น 10% ซึ่งมองว่า EPS จะอยู่ที่ 107 บาทต่อหุ้น โดยมองว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ จะเร่งตัวขึ้นกลับเข้าสู่ช่วงก่อนเกิดโควิด

 

ถึงแม้ว่ากำไรจากกลุ่มพลังงานจะลดลงแต่จะไม่มาก เพราะคนหันมาใช้น้ำมันมากกว่าก๊าซที่แพงขึ้น ก็จะช่วยจำกัด Downside ของราคาน้ำมันให้ลงไม่เยอะเท่าที่ควร ก็ถือว่ามีส่วนช่วยในการดึงดูดกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ

 

ขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนจะกลับมาเพิ่มขึ้นภายหลังที่จะเกิดการเลือกตั้ง และภาคการบริโภคในประเทศก็จะกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องได้เช่นกัน

 

สำหรับธีมการลงทุนในช่วงปี 2566 กลุ่มหุ้นที่เคยปรับตัวลดลงเยอะในปีนี้ ที่ถูกกดดันจากดอกเบี้ยขาขึ้น เงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นจะกลับมา เช่น กลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะเห็นการฟื้นตัว ขณะที่กลุ่มไฟแนนซ์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีปัจจัยลบกดดันต่อราคาก็มีความชัดเจนขึ้นแล้ว

 

ด้านแรงหนุนจากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566 ซึ่งหากดูสถิติจะพบว่าก่อนการเลือกตั้ง 2 สัปดาห์ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 4% และจากนั้นในช่วง 1 เดือนหลังจากการเลือกตั้งตลาดหุ้นจะเพิ่มขึ้น 5% ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นกว่า 80% ตามสถิติ รวมถึงปัจจัยที่ดอกเบี้ยของ Fed เงินเฟ้อ และดอลลาร์ กำลังจะผ่านจุดพีคไปแล้ว 

 

“อย่างไรก็ตามในปีหน้ายังมีปัจจัยที่จะเข้ามากระทบต่อบรรยากาศการลงทุนคือ เรื่องผลกระทบเศรษฐกิจถดถอย และควา,ขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับจีนจะมีผลกระทบรุนแรงมากขึ้น” ณัฐพลกล่าว

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising