×

SCB มองหุ้นไทยหลุด 1,500 จุด ช่วงสั้นฟื้นยาก หลายปัจจัยลบกดดัน แนะจังหวะย่อตัวน่าเข้าลงทุน เชื่อตลาด Price In ฟื้นเร็ว

27.09.2023
  • LOADING...

SCB คาดหุ้นไทยร่วงหลุด 1,500 จุด หลังต่างชาติเทขายหุ้นไทย กังวลปัญหาวินัยทางการคลัง รอดูความชัดเจนแหล่งเงินทำดิจิทัลวอลเล็ต ส่วน Year to Date ต่างชาติเทขายสุทธิหุ้นกับตราสารหนี้รวม 3 แสนล้านบาท 

 

รุ่งโรจน์ เสกสรรค์วิริยะ ผู้อำนวยการอาวุโส Investment Product Selection and Partnership ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงหลุดกว่าระดับ 1,500 จุด เป็นปัจจัยหนึ่งที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ที่มีความกังวลในประเด็นวินัยทางการคลัง และรอมาตรการการคลังที่ชัดเจนจากรัฐบาลไทยจากผลกระทบในการดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะใช้วงเงินประมาณ 5 แสนล้านบาท 

 

ขณะที่ภาพรวม ทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและตลาดหุ้นไทยปัจจุบันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ อีกทั้งตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติม เนื่องจากกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share: EPS) ยังถูกปรับประมาณการลดลงมาอย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นประเมินว่าจะยังไม่เห็นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ทั้งนี้นับตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติเทขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทยไปแล้วมูลค่ารวมประมาณ 3 แสนล้านบาท ถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง 

 

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประเมินว่าที่ระดับแนวรับ 1,480 จุด ถือเป็นระดับที่น่าสนใจในการลงทุน โดยมีปัจจัยบวกที่จะมาสนับสนุนตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไปให้ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ ดังนี้ 

 

  1. ตลาดหุ้นไทยมัก Price In อย่างรวดเร็ว และปรับฟื้นตัวได้ทันทีที่เห็นความชัดเจน ขณะที่คาดว่านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น

 

  1. เศรษฐกิจไทยปัจจุบันไม่ได้อ่อนแอเหมือนในช่วงวิกฤตโควิด หรือสมัยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ

 

  1. ทุนสำรองระหว่างประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บริหารจัดการ ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ ติดอยู่ใน 10-20 อันดับประเทศที่มีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงสุดของโลก 

 

  1. ความมั่นคงของรัฐบาลใหม่และนโยบายที่มีความชัดเจน

 

  1. ภาคการท่องเที่ยวที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น และกำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว รวมถึงรัฐบาลกำลังออกมาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวต่อเนื่อง

 

ส่วนปัจจัยลบที่ต้องติดตามมีดังนี้ 

 

  1. แหล่งที่มาของเงินจำนวน 5 แสนล้านบาท ที่จะใช้ดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จะมีผลกระทบต่อเครดิตเรตติ้งของประเทศไทยหรือไม่

 

  1. การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ที่คาดว่าจะขึ้นอีกจำนวน 1 ครั้งในอัตรา 0.25% แต่ยังคงต้องติดตามแนวโน้มการประชุมดอกเบี้ยในครั้งถัดๆ ไป

 

  1. ความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีน และค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า

 

  1. การปรับลดประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

 

  1. ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทั้งจากปัจจัยของภูมิภาคและปัจจัยภายในประเทศ

 

ในระยะถัดไปประเมินว่ามีโอกาสที่จะมีปัจจัยบวกทยอยเข้ามา

 

สำหรับมุมมองการลงทุนในสินทรัพย์ในตลาดหุ้นโลก ประเมินว่าหุ้นสหรัฐฯ มีความน่าสนใจมากขึ้น แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุน หลังจากปรับตัวลดลงจากความกังวลการขึ้นดอกเบี้ย และอาจเห็นการผันผวนในระยะสั้น เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังออกมาแข็งแกร่ง อีกทั้งแนะนำการลงทุนในตราสารหนี้ไทยและของโลกในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) แต่ให้หลีกเลี่ยงการลงทุนใน High Yield Bond ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก แนะนำให้ถือทองคำสัดส่วนประมาณ 2-3% เพื่อกระจายความเสี่ยงการลงทุน

 

ส่วนการลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนทางภาษีช่วงปลายปี แนะนำให้เริ่มทยอยเข้าซื้อกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อดักอานิสงส์ตลาดหุ้นขาขึ้นซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีเป็นส่วนมาก การเข้าลงทุนในช่วงนี้จึงเป็นการลงทุนที่จะมีต้นทุนถูกกว่า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising