นับวันการซื้อของจาก ‘ช่องทางออนไลน์’ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งวิถีชีวิตปกติของคนไทยไปเสียแล้ว
เรื่องนี้สะท้อนได้จากตัวเลขของ Priceza (ไพรซ์ซ่า) เป็นผู้ให้บริการค้นหาและเปรียบเทียบราคาสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่ระบุว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2020 เติบโตแรงกว่า 81% ด้วยมูลค่า 2.94 แสนล้านบาท สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.2 แสนล้านบาท
ขณะที่ในปี 2021 ได้คาดการณ์ว่าตลาดยังสามารถเติบโตได้อีกโดยอาจมีมูลค่าถึง 4 แสนล้านบาท ซึ่งนี่ยังเป็นตัวเลขคาดเดาเท่านั้น เพราะในที่สุดแล้วเมื่อสิ้นสุดปีตัวเลขดังกล่าวอาจจะพุ่งขี้นไปได้มากกว่านั้นอีก
ดังนั้นจึงปฎิเสธไม่ได้ว่า ‘อีคอมเมิร์ซไทย’ กำลังอยู่ในช่วง ‘ขาขึ้น’ ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจาก ‘โควิด-19’
การระบาดของโรคที่ไม่มีใครคาดคิดทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือ จากที่เคยออกไปเดินซื้อสินค้าตามห้างสรรพสินค้าหรือตลาดด้วยตัวเอง เมื่อมีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงที่จะเดินทางออกไปนอกบ้าน และหันมาสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งสะดวกสะบายเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การเลือกซื้อ จ่ายเงิน กระทั่งของมาส่งถึงหน้าบ้าน
ทว่าสาเหตุที่ทำให้อีคอมเมิร์ซไทยเติบโตไม่ได้มีอยู่แค่นั้น ยังมาจากอีกสาเหตุหนึ่งคือการทำแคมเปญ ‘Double Day’ ที่วันนี้กลายเป็นสิ่งที่ขาช้อปออนไลน์รอคอยไปแล้ว
ในประเทศไทย ถึงแม้ Double Day ถูกนำเข้ามาโดย Lazada แต่วันนี้ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายอื่นๆ ก็ต่างนำกลยุทธ์นี้มาใช้ ไม่ว่าจะเป็น Shopee หรือ JD Central
สิ่งที่น่าจับตาคือ Double Day ไม่ได้จำกัดแค่วันที่ 11 เดือน 11 แล้วเท่านั้น แต่กลายเป็นแคมเปญที่จัดไปทุกเดือน ไล่มาตั้งแต่ 1.1 ไปจนถึง 12.12 ซึ่งแม้จะมาบ่อยแต่กระแสตอบรับของผู้บริโภคไม่ได้แผ่วลงเลย ตัวอย่างเช่น Shopee ที่ออกมาระบุว่า Shopee 4.4 Mega Shopping Day ปีนี้ประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีไอเท็มถูกจำหน่ายออกไปทั่วทั้งภูมิภาคมากกว่า 6 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติในช่วงโปรโมชันนาทีทอง Midnight Mega Sale ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง
ที่สำคัญ วันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เจ้ายักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซเท่านั้นที่เล่นโปรโมชัน Double Day แต่บรรดาห้างสรรพสินค้า หรือกระทั่งธุรกิจในอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่างก็หยิบโปรโมชันนี้มาใช้อย่างคึกคัก จนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของการช้อปปิ้งไปเสียแล้ว
ขณะเดียวกันเราพบว่า ‘บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน’ หรือ ‘บลจ.’ ก็ได้เริ่มหยิบกิมมิกนี้มาใช้เช่นเดียวกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อจับกลุ่มนักลงทุนที่ชื่นชอบการซื้อกองทุนผ่านทางออนไลน์ และสนใจในโปรโมชันจากการช้อปปิ้งออนไลน์ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ที่จัดโปรโมชัน 5 เดือน 5 กับกองทุน Morningstar 5 ดาว โดยนำบัตรกำนัลสตาร์บัคส์มาเป็นโปรโมชันมอบให้กับนักลงทุนที่ซื้อกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม (SCB Global Fixed Income Fund (SCBFIN)) ผ่านช่องทาง SCB EASY App
และถึงแม้ว่าจะผ่านวันที่ 5.5 ไปแล้ว แต่แคมเปญนี้ยังคงมอบบัตรกำนัลให้กับผู้ที่มียอดเงินลงทุนสะสมในกองทุนที่กำหนดในช่วงระยะเวลาของแคมเปญ ตั้งแต่ 5-19 พฤษภาคม 2564 จะได้รับบัตรกำนัลสตาร์บัคส์มูลค่ารวมสูงสุดถึง 2,000 บาท*
สำหรับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม (SCB Global Fixed Income Fund (SCBFIN)) เป็นกองทุนประเภทตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงกองทุนระดับ 5 และได้รับ Overall Rating 5 ดาวจาก MorningStar ประเภท Thailand Fund Global Bond ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564
โดยกองทุนมีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ Nomura Global Dynamic Bond Fund (กองทุนหลัก) ชนิดหน่วยลงทุน (Share Class) I USD สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ กองทุนหลักบริหารโดย Nomura Asset Management U.K. Limited จดทะเบียนภายใต้กฎหมายของประเทศไอร์แลนด์ อยู่ภายใต้ UCITS โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน แต่ถ้าลงทุนภายใต้แคมเปญ ‘5 เดือน 5 กับกองทุน Morningstar 5 ดาว’ ก็เตรียมตัวรับไปเลย บัตรกำนัลสตาร์บัคส์ ที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 2,000 บาท
รายละเอียดแคมเปญเพิ่มเติม คลิก
- SCBFINA กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม (ชนิดสะสมมูลค่า) ความเสี่ยงระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง
- SCBFINR กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ โกลบอล ฟิกซ์ อินคัม (ชนิดรับซื้อคืนอัตโนมัติ) ความเสี่ยงระดับ 5 ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด
คำเตือน: ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ