×

บุก Samsung Digital City ที่เกาหลีใต้ ดูเบื้องหลังนวัตกรรมและลองใช้ 5G

30.09.2019
  • LOADING...
Samsung Digital City

HIGHLIGHTS

6 MINS. READ
  • การออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกภายในแคมปัส Samsung Digital City ในเมืองซูวอนให้ความสำคัญกับพนักงานกว่า 32,000 ชีวิตมากๆ ด้วยการปรับให้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ช่วยส่งเสริมบุคลากรให้ Productive
  • หัวหน้าทีมพัฒนางานออกแบบของสมาร์ทโฟนแฟลกชิป (S+Note) Samsung บอกกับ THE STANDARD ว่า งานออกแบบสมาร์ทโฟนในอนาคตจะเน้นความเรียบง่าย มินิมัลมากขึ้น คล้ายงานดีไซน์ในอุตสาหกรรมรถยนต์
  • ความเร็วเฉลี่ยสัญญาณ 5G ที่เราได้ทดลองใช้งานบน Samsung Galaxy S10 5G อยู่ที่ประมาณ 300-500 Mbps ส่วนยูสเคสการใช้งานบนมือถืออาจจะยังมีน้อยอยู่ เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่งเริ่มติดตั้งได้ไม่นาน

ภายในระยะเวลา 10 ปีที่ ‘Samsung’ เริ่มบุกตลาดสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังด้วยมือถือตระกูล ‘Galaxy’ บริษัทจากเกาหลีใต้แห่งนี้ได้เดินหน้าสร้างความฮือฮาพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ และมีส่วนสำคัญร่วมปฏิวัติอุตสาหกรรมมาโดยตลอด 

 

แม้รายได้ในช่วงครึ่งปี 2019 ที่ผ่านมาของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยจากปีที่แล้วราว 8.9% แต่ทิศทางการเติบโตโดยรวมของบริษัทก็ยังอยู่ในเส้นทางที่ดีอยู่ โดยข้อมูลจาก Counterpoint Research ระบุว่า ปัจจุบัน (ไตรมาส 2/2562) Samsung มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนนำเป็นอันดับที่ 1 ของโลกที่ 22% มียอดจำหน่ายมากกว่า 76.3 ล้านเครื่องทั่วโลก

 

แถมปีนี้ก็เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นแฟลกชิปฉลองครบรอบ 1 ทศวรรษ Galaxy Galaxy S10, Galaxy Note10 พ่วงด้วย Galaxy Fold สมาร์ทโฟนจอพับได้เครื่องแรกของโลกที่วางขายเชิงพาณิชย์

 

คำถามสำคัญที่เชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะคิดอยู่ในใจเหมือนกับเราคือ ทำไม Samsung สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาได้อยู่เรื่อยๆ ความเป็นอยู่ของพนักงานและการใช้ชีวิตของพวกเขาเป็นอย่างไร สิ่งแวดล้อมต่างๆ ในออฟฟิศมีผลมากน้อยแค่ไหน

 

THE STANDARD บินลัดฟ้ามายัง ‘Samsung Digital City’ ในซูวอน เมืองที่อยู่ห่างจากความจอแจพลุกพล่านของกรุงโซลราว 30 กิโลเมตร เพื่อเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กรที่น่าสนใจ ถามความเห็นงานดีไซน์สมาร์ทโฟนจากทีมพัฒนางานออกแบบแฟลกชิป Galaxy ไปจนถึงลองใช้งาน 5G จริง

 

Samsung Digital City

ภาพ: Samsung

 

‘Employee-Centric’ สิ่งแวดล้อมและหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและนวัตกรรม

Samsung Digital City ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นเมือง เพราะฉะนั้นขนาดพื้นที่ของสถานที่แห่งนี้จึงมีความกว้างใหญ่ไพศาลมากๆ ครอบคลุมกว่า 986 ไร่ เทียบเท่าสนามฟุตบอลมากกว่า 250 แห่ง! เพื่อรองรับพนักงานกว่า 32,000 ชีวิต (คิดเป็น 10% ของจำนวนพนักงาน Samsung ทั้งหมด)

 

หลักๆ แล้วหน้าที่ของแคมปัสแห่งนี้คือการเป็นอาณาจักร Samsung ที่มีทั้งสำนักงานใหญ่และอาคารต่างๆ โดยนวัตกรรมล้ำสมัยล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากสถานที่แห่งนี้แทบทั้งนั้น 

 

จุดที่เราประทับใจมากๆ แม้จะได้สัมผัสแคมปัสของ Samsung แค่บางส่วนคือ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ Samsung Digital City ถูกออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม ให้ความสำคัญและใส่ใจกับพนักงานเป็นสำคัญ 

 

ภายในออฟฟิศหลักจำนวน 4 ตึก (มีตึกสมาร์ทโฟน โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจอื่นๆ ด้วย) ทุกสิ่งอำนวยความสะดวกล้วนแล้วแต่ถูกจัดวางไว้อย่างเสร็จสรรพ เริ่มต้นที่โรงอาหารซึ่งแต่ละอาคารจะมีทั้งหมด 3-4 โรงใหญ่ๆ ไว้รองรับพนักงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก 

 

ซึ่งอาหารทั้ง 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น เป็นสวัสดิการฟรีที่ทาง Samsung จัดให้กับพนักงาน แล้วตัวเลือกก็มีให้หลากหลาย ทั้งอาหารเกาหลี อาหารสไตล์ตะวันตกหรืออิตาลี แถมทุกเมนูยังแสดงข้อมูลโภชนาการทางอาหารให้เห็นกันชัดๆ อีกด้วยเพื่อสุขภาพที่ดีของพนักงานทุกคน

 

Samsung Digital City

 

ในมุมการเปิดโอกาสให้พนักงาน Samsung ยังมีสปีดโบ๊ทของพวกเขาเองอย่าง ‘C-Lab’ (Creative Lab) แหล่งผลิตสตาร์ทอัพและแนวคิดเจ๋งๆ ที่เกิดจากพนักงาน Samsung ซึ่งเริ่มทำมาแล้ว 6 ปี มีโปรเจกต์ต่างๆ รวม 1,354 โครงการ หากไอเดียไหนที่ Samsung มองว่าสามารถต่อยอดธุรกิจในองค์กรได้ก็จะถูกสปินออฟไปเป็นนวัตกรรมในบริษัท 

 

กลับกันหากไอเดียไหนที่ดีมีศักยภาพแต่ไม่สามารถเบลนด์เข้ากับธุรกิจในองค์กรได้ Samsung ก็จะผลักดันให้พนักงานคนนั้นๆ เริ่มจัดตั้งสตาร์ทอัพของตัวเองขึ้นมา C-Lab จึงเปรียบเสมือนเรือด่วนลำจิ๋วที่ช่วยให้เรือยักษ์ลำใหญ่อย่าง Samsung ดำเนินธุรกิจไปพร้อมๆ กับการเฟ้นหานวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา

 

ระดับความจริงจังในการทำ C-Lab ก็จัดว่าไม่ธรรมดา เพราะ Samsung ยังสร้างห้องเวิร์กช้อปที่มีตั้งแต่เครื่องพิมพ์สามมิติ เครื่องไม้เครื่องมือช่าง และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการขึ้นรูปม็อกอัพโมเดลโปรเจกต์ต่างๆ อีกด้วย

 

แต่ด้วยความที่เป็นองค์กรใหญ่ที่พนักงานต้องทำงานหนักแข่งกับโลกาภิวัตน์เพื่อสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมา Served ตลาดแบบห้ามหยุดพัก ไม่แปลกที่พนักงานบางส่วนอาจจะเกิดอาการ Syndrome ต่างๆ จากความเหนื่อยล้าหรือหมดไฟในการทำงานได้

 

Samsung Digital City

ภาพ: Samsung

 

ด้วยเหตุนี้ใน Samsung Digital City จึงมีคลินิกและบริการทางการแพทย์ให้ความช่วยเหลือดูแลพนักงานโดยเฉพาะ พร้อมด้วยบริการบำบัดสำหรับผู้ที่มีความเครียดสะสม หรือเริ่มรู้สึกมีอาการวิตกกังวลต่างๆ รวมถึงการรักษาโรคพื้นฐานทั่วไป เช่น ไข้หวัด ทำฟัน และฝังเข็มโบราณ

 

เช่นเดียวกับฟิตเนส (มีผาจำลองและซาวน่าด้วย) และสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานกีฬาโอลิมปิกที่ถูกยกมาไว้ในแคมปัสแห่งนี้ สนนค่าบริการราว 600 บาทต่อเดือน รวมถึงกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อให้พนักงานได้ผ่อนคลายจากความเครียด ตั้งแต่การเล่นดนตรี, เต้น, งานศิลปะ งานฝีมือ ไปจนถึงชมรมต่อโมเดลกันพลา!

 

ถึงจะไม่ใช่สิ่งที่ออกมาจากปากหรือการให้สัมภาษณ์ของทีมงาน Samsung ที่เกาหลีใต้โดยตรง แต่เราก็สัมผัสได้ว่า Samsung ค่อนข้างให้ความสำคัญกับแนวคิด ‘Employee-Centric’ หรือการออกแบบทุกสิ่งอย่างโดยเอาตัวพนักงานเป็นศูนย์กลางมากๆ 

 

ไม่มากก็น้อย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแตส่งผลให้พนักงานในบริษัทรีดศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่ ไร้เรื่องกังวลรบกวนใจ โดยเป็นการลงทุนที่ตัวบริษัทอย่าง Samsung เองก็ได้ทั้ง Productivity และ Innovation จากบุคลากรในองค์กรไปเต็มๆ

 

Samsung Digital City

 

งานดีไซน์สมาร์ทโฟนโลกกำลังจะมุ่งไปทางไหน

นอกจากจะมีโอกาสได้เยี่ยมชม Digital City ของ Samsung แล้ว ผู้เขียนยังได้เดินทางไปยัง R&D Center ของ Samsung ในกรุงโซลเพื่อพูดคุยกับ ยางจุนโฮ (Yang Junho) หัวหน้าทีมพัฒนางานดีไซน์สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงของ Samsung (Head of the Flagship Product Design) ผู้อยู่เบื้องหลังงานออกแบบของ Galaxy S และ Note มาตั้งแต่ Galaxy S8

 

จุนโฮถือเป็นบุคลากรระดับสูงและดีไซเนอร์มากความสามารถคนหนึ่งของ Samsung โดยก่อนหน้าที่จะมาดูแลงานออกแบบสมาร์ทโฟนเรือธง เขารับหน้าที่ดูแลงานดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรทัศน์ Samsung มานานถึง 19 ปี นับตั้งแต่ปี 1996 จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการพัฒนาหน้าจอดิสเพลย์ในช่วงหลังๆ ของทั้ง S และ Note จึงโดดเด่นเหนือคู่แข่งและถูกโฟกัสให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ

 

หัวหน้าทีมพัฒนางานดีไซน์สมาร์ทโฟนเรือธงบอกกับผู้สื่อข่าวว่า หัวใจสำคัญและปรัชญาในการออกแบบสมาร์ทโฟนของ Samsung ยึดเอาผู้ใช้งานและมนุษย์เป็นสารตั้งต้นของทุกสิ่งอย่าง ความหมายคือสมาร์ทโฟนทุกเครื่องที่พัฒนาขึ้นมาจะต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของมนุษย์ได้ (หน้าจอใหญ่ แสดงผลได้ดีขึ้น สอดรับเทรนด์ของคอนเทนท์สตรีมมิงวิดีโอ เป็นต้น)

 

เช่นเดียวกันกับการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามแต่ยุคและสมัย เพื่อให้สามารถเข้าใจเทรนด์ และเลือกหยิบจับวัสดุต่างๆ มาตอบโจทย์งานออกแบบในช่วงเวลานั้นให้โดนใจผู้ใช้ได้มากที่สุด 

 

จุนโฮได้ยกตัวอย่าง Note 10 ที่ถูกเพิ่มดีไซน์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคมิลเลนเนียลและคนรุ่นใหม่ได้อย่างไม่เคอะเขิน โดยเฉพาะการเพิ่มขนาดหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นเป็น 6.8 นิ้วใน Note 10+ แต่มีน้ำหนักและเบากว่า Note 9 โดยใช้ระยะเวลาในการพัฒนานานกว่า 2 ปี

 

Samsung Digital City

 

ด้วยความสงสัย เราถามจุนโฮว่า งานดีไซน์ของสมาร์ทโฟนในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะถ้านับถึงปัจจุบัน เราตั้งคำถามกับตัวเองว่างานออกแบบของโทรศัพท์มือถือใกล้จะถึงทางตันแล้วหรือยัง เนื่องจาก ณ วันนี้แบรนด์ส่วนใหญ่ก็มุ่งไปในทิศทางเดียวกันคือทำให้จอใหญ่ขึ้น ลดสิ่งรบกวนบนหน้าจอ (กล้องหน้า ติ่ง Notch หรือ Hole Punch ฯลฯ)

 

ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็น่าสนใจมากๆ เพราะจุนโฮมองว่างานออกแบบสมาร์ทโฟนในอนาคตจะมีความมินิมัล เรียบง่ายมากขึ้น โดยเทียบเคียงกับอุตสาหกรรมรถยนต์ ความหมายคืออาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงระดับหวือหวามากมาย แต่จะลดทอนความยุ่งยากด้าน UX ให้น้อยลง พร้อมทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ Samsung พยายามทำกับงานออกแบบตัวเครื่องสมาร์ทโฟนมาตลอดคือการสร้างความรู้สึก ‘น่าหลงใหล ชวนดึงดูด’ ให้ผู้พบเห็นอยากครอบครองและเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของพวกเขา

 

ขณะที่แนวคิดการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ก็ถูกปรับปรุงให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเพื่อให้สอดรับกับความกังวลที่ผู้คนทั่วโลกมีต่อภาวะโลกร้อนและปัญหาขยะพลาสติก โดยใน Note 10 ได้นำกระดาษรีไซเคิลมาใช้แทนพลาสติกทั้งหมด (100% Plastic Free) 

 

เรื่องบรรจุภัณฑ์นี้ ทาง Samsung ยอมรับกับเราเหมือนกันว่าการใช้วัสดุจำพวกกระดาษมีต้นทุนสูงไม่น้อย เพราะฉะนั้นในรุ่นรองๆ ลงมาที่ไม่ใช้แฟลกชิป ก็จะเลือกใช้วัสดุจำพวกไบโอพลาสติกแทน แต่ในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่ในอนาคตจะสามารถลดต้นทุนของวัสดุกระดาษให้ถูกลง

 

Samsung Digital City

 

ทดลองใช้งาน 5G จริงผ่านสมาร์ทโฟน Galaxy S10 5G

จุดแข็งที่ทำให้ Samsung มีแต้มต่อในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน คือการเป็นผู้ผลิตสินค้าและนวัตกรรมแบบ End-to-End โดยเฉพาะกับเทคโนโลยี 5G ที่ตอนนี้ผู้คนทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใจจดใจจ่อว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลกใบนี้และอุตสาหกรรมน้อยใหญ่ได้เพียงไร

 

Samsung มีวิสัยทัศน์ด้าน 5G (5G Vision) ที่ชัดเจนมากๆ ในการผลักดันเทคโนโลยีการสื่อสารแห่งอนาคตนี้ โดยได้เริ่มต้นพัฒนา Core Tech เพื่อต่อยอดสู่การพัฒนา 5G ครั้งแรกเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว (2009) ด้วยความเชื่อของการผลักดันให้ 5G เกิดขึ้นจริง และเปลี่ยนชีวิตผู้ใช้งานให้สะดวกสบายมากขึ้น

 

โดยปัจจุบันนอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ ชิ้นส่วนต่างๆ และมีส่วนร่วมสำคัญในการวางโครงข่ายการเชื่อมต่อขั้นพื้นฐาน 5G แล้ว  Samsung ก็ยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนมากถึง 4 รุ่นที่รองรับการใช้งาน 5G ประกอบด้วย Galaxy S10, Galaxy Note 10, Galaxy A90 และ Galaxy Fold ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ และการออกแบบสถาปัตยกรรมภายในเครื่องจะต่างจากสมาร์ทโฟนทั่วไปที่รองรับ LTE โดยสิ้นเชิง

 

THE STANDARD มีโอกาสได้ลองใช้งาน Galaxy S10 5G ในระหว่างเดินทางไปไหนมาไหนในกรุงโซล เกาหลีใต้ ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ส่วนใหญ่ของโซลรองรับการใช้งาน 5G แล้ว หลังผู้ให้บริการในประเทศได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อช่วงมีนาคมถึงเมษายนที่ผ่านมา

 

โดยความเร็วเฉลี่ย (ดาวน์โหลด) ที่เราวัดได้จากเบราว์เซอร์ Fast พบว่า อยู่ที่ประมาณ 300-600 Mbps เท่านั้น (ความเร็วสูงสุดที่โอเปอเรเตอร์ในบ้านเราให้บริการ 4G อยู่ที่ 300 Mbps) ถือว่ายังน้อยกว่าความเร็วสูงสุดที่ทีมงานของ Samsung เคยวัดได้ในช่วงที่เปิดใช้งาน 5G ใหม่ๆ ที่ 1.3 Gbps (ผู้สื่อข่าวที่ร่วมทริปไปกับเราทดสอบสัญญาณ 5G ในบางจุดได้ที่ 990 Mbps)

 

อีกข้อสังเกตที่เราพบคือยูสเคสการใช้งาน 5G จริง ณ ตอนนี้ยังมีอยู่อย่างจำกัด เพราะเอาเข้าจริงการใช้งานบนสมาร์ทโฟนหรือการสตรีมคอนเทนต์วิดีโอต่างๆ ด้วย 4G ก็นับว่าเหลือๆ แล้ว ความเห็นส่วนตัวจากที่มีโอกาสได้ทดลองใช้งาน 5G ในระยะเวลา 2 วันยังจึงมองว่าความต่างระหว่าง 5G และ 4G อาจจะไม่ได้ทิ้งห่างกันลิบลับมากมาย

 

แต่จากการพูดคุยกับ อีจุนฮี (Lee Junehee) รองประธานอาวุโส และหัวหน้าของทีมวางกลยุทธ์ธุรกิจการสื่อสารของ Samsung นั้น เราพบว่าอาจจะยัง ‘เร็วไปหน่อย’ ที่จะตัดสินความต่างของ 5G เพราะต้องไม่ลืมว่า ณ วันนี้ สถานะของ 5G ในโลกยังเป็น Pre-Early Stage ด้วยซ้ำ 

 

นั่นหมายความว่าเราอาจจะต้องรอให้หลายๆ ประเทศพร้อมใจกันติดตั้ง 5G สักระยะก่อน ถึงจะเริ่มได้เห็นยูสเคสที่เป็นประโยชน์มากขึ้นๆ คล้ายๆ กับช่วงเปลี่ยนผ่านจาก 3G มา 4G แล้วเกิดเทรนด์ใหม่ๆ มากมายขึ้นมา เช่น บริการสตรีมคอนเทนต์,​ UGC (Users Generated Content) และความเฟื่องฟูของตลาดแอปพลิเคชันเป็นต้น

 

แต่อย่างน้อยที่สุด การที่ Samsung เริ่มปล่อยสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G เข้าสู่ตลาดได้เร็วก็ยิ่งทำให้พวกเขาได้เปรียบแบรนด์คู่แข่งพอสมควร โดยเฉพาะการได้ ‘ภาพ’ ของการเป็นเจ้านวัตกรรมสมาร์ทโฟนในอนาคตที่ชัดเจน

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising