×

โรมัน อบราโมวิช ตัดสินใจขายเชลซี พร้อมปิดฉาก ‘Roman Empire’ อันยิ่งใหญ่

03.03.2022
  • LOADING...
โรมัน อบราโมวิช ตัดสินใจขายเชลซี พร้อมปิดฉาก ‘Roman Empire’ อันยิ่งใหญ่

หลังจากที่ส่งสัญญาณที่ผิดปกติในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเมื่อ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมเชลซี ได้ขอยกสิทธิ์และอำนาจในการบริหารสโมสรให้แก่มูลนิธิเชลซี (Chelsea Foundation) ก่อนที่จะมีกระแสข่าวในช่วงวันอังคารว่าได้ติดต่อเพื่อขายกิจการให้แก่นักลงทุน

 

ล่าสุดมหาเศรษฐีวัย 55 ปี ซึ่งเป็นผู้ครอบครองสโมสรฟุตบอลดังแห่งลอนดอนมาตั้งแต่ปี 2003 ได้ประกาศยืนยันด้วยตัวเองว่าเขาต้องการที่จะขายกิจการสโมสรฟุตบอลเชลซีจริง

 

เกิดอะไรขึ้น ทำไมอบราโมวิชจึงตัดสินใจที่จะยุติจักรวรรดิ ‘Roman Empire’ อันยิ่งใหญ่เอาไว้แค่เพียงเท่านี้ ใครจะมาซื้อสโมสรต่อ หนี้สินมหาศาลของสโมสรจะทำอย่างไร และอนาคตของเชลซีต่อจากนี้จะไปในทิศทางใด?

 

การบอกรักและบอกลาจากอบราโมวิช

 

ในแถลงการณ์ความยาว 4 พารากราฟ อบราโมวิชได้เปิดใจเอาไว้ดังนี้

 

“ผมอยากที่จะจัดการเรื่องกระแสข่าวลือบนหน้าสื่อในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องการเป็นเจ้าของทีมเชลซีของผม อย่างที่ผมได้พูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าผมจะตัดสินใจโดยยึดเอาผลประโยชน์ของสโมสรเป็นหลัก ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันผมได้ตัดสินใจที่จะขายสโมสร ด้วยเชื่อว่านี่คือทางที่ดีที่สุดสำหรับสโมสร แฟนๆ และพนักงานทุกคน รวมถึงสปอนเซอร์ของสโมสรและพันธมิตร

 

“กระบวนการขายสโมสรจะเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีการเร่งรัด ผมจะไม่เรียกร้องให้สโมสรจ่ายเงินคืนในส่วนที่ได้กู้ยืมไป เพราะสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องธุรกิจหรือการหาเงิน มันคือเรื่องของความรักอันบริสุทธิ์ที่มีต่อเกมฟุตบอลและสโมสรแห่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังได้ขอให้ทีมของผมช่วยจัดตั้งมูลนิธิการกุศลที่จะนำเงินรายได้จากการขายสโมสรทั้งหมดไปบริจาค มูลนิธิแห่งนี้จะนำผลประโยชน์มอบให้แก่เหยื่อผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามในยูเครน ซึ่งจะจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับเหยื่อที่มีความจำเป็น รวมถึงสนับสนุนการฟื้นฟูในระยะยาว

 

“ได้โปรดเข้าใจว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งและเจ็บปวดสำหรับผมที่จะต้องไปจากสโมสรแบบนี้ อย่างไรก็ดีผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสโมสรแล้ว

 

“ผมหวังว่าผมจะสามารถกลับมาเยือนสแตมฟอร์ดบริดจ์อีกครั้ง เพื่อบอกลาทุกคนด้วยตัวเอง การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเชลซีถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของชีวิต และผมภูมิใจกับความสำเร็จทั้งหมดของเรา สโมสรฟุตบอลเชลซีและแฟนๆ ทุกคนจะอยู่ในใจของผมตลอดไป”

 

ขอบคุณ

 

โรมัน

 

หรือหากจะให้สรุปสาระสำคัญของแถลงการณ์นี้ มีสิ่งที่น่าสนใจคือ

  • โรมัน อบราโมวิช ตัดสินใจขายเชลซีด้วยความจำเป็น
  • หนี้สินที่เกิดจากการลงทุนในสโมสรทั้งหมด ซึ่งเชลซีกู้ยืมจากบริษัท Fordstam ของอบราโมวิชจำนวนกว่า 1.5 พันล้านปอนด์ จะได้รับการยกหนี้ให้
  • เงินจากการขายสโมสรทั้งหมดจะนำไปก่อตั้งมูลนิธิการกุศล เพื่อช่วยเหลือชาวยูเครนที่ได้รับผลกรทะบจากภัยสงคราม

 

นอกจากนี้ยังมีอะไรที่อบราโมวิชไม่ได้บอกอีกไหม?

 

จุดจบของ Roman Empire

 

ย้อนกลับไปในแถลงการณ์ประวัติศาสตร์ฉบับดังกล่าว สิ่งที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ


ภายในระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์หลังเกิดสงคราม และ 4 วันนับจากที่อบราโมวิชประกาศว่าจะมอบสิทธิ์การบริหารสโมสรให้มูลนิธิเชลซี วันนี้เรื่องราวเดินทางมาถึงจุดที่มหาเศรษฐีชาวรัสเซียต้องตัดสินใจที่จะขายกิจการของสโมสรออกไป

 

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีคนพยายามทาบทามขอซื้อ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเคยคิดจะขาย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดกรณีปัญหาไม่สามารถขอวีซ่านักลงทุนเข้าสหราชอาณาจักร ทำให้เดินทางมาดูเกมที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ไม่ได้ จนถึงขั้นระงับแผนการสร้างสนามสุดหรูแห่งใหม่ แต่สุดท้ายอบราโมวิชก็ยังอยู่กับเชลซี

 

การกล่าวว่าเชลซีคือแพสชันจึงไม่เกินไปจากความเป็นจริง เมื่อคิดถึงการบริหารตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา

 

จากจุดเริ่มต้นในปี 2003 อบราโมวิชสร้างปรากฏการณ์ด้วยการใช้เงินมหาศาลเพื่อซื้อความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วเสียยิ่งกว่าที่เจ้าของสโมสรฟุตบอลใดในอังกฤษเคยทำ ไม่เว้นแม้แต่ แจ็ค วอล์กเกอร์ มหาเศรษฐีผู้สานฝันตัวเองด้วยการทุ่มเงินเพื่อพาแบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก

 

เชลซีสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ในฤดูกาล 2004/05 หรือแค่ฤดูกาลที่ 2 ที่เขาเข้ามาเป็นเจ้าของ โดยจ้างผู้จัดการทีมที่เก่งที่สุดในเวลานั้นอย่าง โชเซ มูรินโญ เข้ามาคุมทีม ก่อนที่ทีมดังลอนดอนจะกลายเป็นมหาอำนาจของวงการ ผ่านบทพิสูจน์ในการยืนหยัดตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

 

อบราโมวิชอาจจะมีชื่อเสียงไม่ดีนักเกี่ยวกับความอดทนที่ต่ำและพร้อมจะไล่ผู้จัดการทีมที่ทำผลงานไม่ดีหรือไม่โดนใจออกจากตำแหน่งได้อย่างง่ายดาย แต่ 19 ปีที่ผ่านมา เชลซีของเขาคว้าแชมรายการใหญ่ได้มากถึง 23 รายการ ซึ่งมีแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกและเอฟเอคัพอีก 5 สมัย

 

โดยแชมป์ล่าสุดคือรายการฟีฟ่าคลับเวิลด์คัพ หรือแชมป์สโมสรโลก ซึ่งเป็นรายการเดียวที่ไม่เคยได้ และทำให้ ‘ลิสต์’ ถ้วยรางวัลของอบราโมวิชครบสมบูรณ์

 

นอกเหนือจากทีมชายแล้ว อบราโมวิชยังลงทุนกับการปรับปรุงศูนย์ฝึกซ้อมที่ค็อบแฮม ให้ความสำคัญกับการพัฒนานักเตะเยาวชน จนทำให้เชลซีเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีดาวรุ่งเก่งที่สุดในประเทศ ซึ่งดาวรุ่งเหล่านี้เริ่มได้โอกาสแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ในช่วงหลัง ขณะที่ทีมฟุตบอลหญิงของเชลซีก็เป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของยุโรปเช่นกัน

 

เรียกได้ว่าเชลซีเปลี่ยนแปลงมาถึงจุดนี้ได้ก็จากความคลั่งไคล้ในเกมฟุตบอลของอบราโมวิช ซึ่งไม่เน้นการพูดแต่เน้นการกระทำ

 

อย่างไรก็ดี ผลกระทบจากสงครามรุนแรงเกินไป การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ รวมถึงการแทรกแซงทางการเงิน ทำให้อบราโมวิชสั่นคลอนอย่างหนัก ซึ่งในอังกฤษแม้จะยังไม่มีการดำเนินการแทรกแซงใดๆ แต่เมื่อการเขียนบทให้มูลนิธิเชลซีรับช่วงบริหารต่อไม่ประสบความสำเร็จและส่อเค้าจะมีปัญหารุนแรง การตัดใจอำลาตั้งแต่ตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

ทั้งนี้เชลซีไม่ใช่สินทรัพย์เดียวที่เขาต้องตัดใจขาย หากแต่รวมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อาทิ แมนชันสุดหรูในย่านเคนซิงตันพาเลซในลอนดอนด้วย

 

เพราะหากช้าไปกว่านี้ อาจจะไม่เหลืออะไรเลยก็เป็นได้

           

มูลค่าที่แท้จริงของเชลซี และใครจะซื้อ?

 

สิ่งที่น่าสนใจต่อมาคือใครจะซื้อเชลซี และในสนนราคาเท่าไร?

 

ตามรายงานจาก BBC ระบุว่า อบราโมวิชตั้งธงไว้ที่ 3 พันล้านปอนด์สำหรับสมบัติที่เขาหวงแหนที่สุด 

 

แต่หากย้อนกลับไปในปี 2021 นิตยสาร Forbes เคยประเมินมูลค่าของเชลซีเอาไว้ที่ 2.4 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการประเมินก่อนที่จะคว้าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 2

 

ขณะที่ KPMG อีกสำนักที่จัดอันดับเรื่องในวงการฟุตบอล ประเมินเอาไว้ว่ามูลค่าของเชลซีในปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 พันล้านปอนด์ ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลกเลยทีเดียว

 

ดังนั้นมูลค่าของเชลซีที่นักลงทุนจะเข้ามาซื้อไปนั้นจึงอาจจะอยู่ที่ราว 1.5-2.4 พันล้านปอนด์ ซึ่งสำหรับสโมสรฟุตบอลระดับท็อปของโลก ที่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมที่มีแฟนบอลทั่วโลกเยอะมากและยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงในประเทศไทยที่มีแฟนบอลรุ่นใหม่จำนวนมาก ราคานี้ไม่ถือว่าเป็นราคาที่แพงเกินความเป็นจริงแต่อย่างใด

 

โดยเฉพาะเมื่ออบราโมวิชยืนยันว่าเจ้าของใหม่ไม่ต้องชำระหนี้ที่เกิดจากการลงทุนแล้ว ก็น่าจะช่วยให้เกิดการปิดดีลได้ง่ายขึ้นมาก

 

สำหรับนักลงทุนที่มีข่าวนั้น คนเดียวที่มีการเปิดเผยคือ ฮันส์ยอร์ก วิสส์ มหาเศรษฐีชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Blick ว่าได้รับการติดต่อจากอบราโมวิชที่ต้องการขายเชลซีให้เร็วที่สุด เพียงแต่ติดเรื่องของสนนราคาที่ยังสูงเกินไปและไม่แน่ใจว่าราคาขายจริงจะอยู่ที่เท่าไร

 

วิสส์ซึ่งจะชักชวนนักลงทุนอีก 6-7 คนมาร่วมลงขันกัน ยังยืนยันว่านอกจากเขาแล้วยังมีอีก 3 นักลงทุนที่ได้รับการติดต่อเช่นกัน และคาดว่าอาจจะมีการยื่นข้อเสนอภายในสัปดาห์นี้

 

เชลซียุค Post-Abramovic

 

การตัดสินใจประกาศขายสโมสรของอบราโมวิชแน่นอนว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่เรียกได้ว่าจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปสำหรับเชลซี

 

เพราะตลอด 19 ปีที่ผ่านมาเชลซีอยู่ได้ด้วยเงินอุดหนุนจากอบราโมวิชที่ร่ำรวยจากการค้าน้ำมันและธุรกิจอื่นๆ ดังนั้นเมื่อไม่มีเงินสนับสนุนตรงนี้แล้ว นั่นหมายถึงสโมสรจำเป็นที่จะต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้ เพราะไม่มีเจ้าของสโมสรรายใดที่จะให้โดยไม่คิดมากเหมือนเจ้าของรายนี้อีกแล้ว

 

นั่นอาจเป็นปัญหา เพราะตลอดมาเชลซีติดลบแทบทุกปี เนื่องจากสโมสรไม่เพียงแต่ลงทุนซื้อผู้เล่นราคามหาศาล ค่าเหนื่อยของสตาร์เหล่านั้นก็ยังสูงติดเพดานเช่นกัน ซึ่งหากมองตามความเป็นจริงแล้วมีโอกาสที่อาจจะมีการปรับโครงสร้างของสโมสรกันครั้งใหญ่

 

สตาร์ค่าเหนื่อยสูงที่ทำผลงานได้ไม่ดีอาจจะถูกผ่องถ่ายออกไปเพื่อลดภาระของสโมสร และเชลซีอาจจะยิ่งเน้นความสำคัญของการพัฒนาดาวรุ่งจากระบบอคาเดมีของสโมสรอย่างจริงจังมากขึ้น

 

โชคดีที่รากฐานทุกอย่างได้ถูกวางเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว แต่การจะนำสโมสรกลับคืนสู่ความสำเร็จได้ก็เป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งของเจ้าของสโมสรใหม่

 

หรือในความรู้สึกแล้วอาจจะไม่มีเจ้าของสโมสรคนใดที่จะนำเชลซียิ่งใหญ่ได้เท่ากับยุคสมัยของ โรมัน อบราโมวิช อีกแล้วก็เป็นได้

 

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับแฟนเชลซีคือการที่ต้องบอกลากันแค่ตรงนี้

 

แต่เสียงเรียกร้องชื่อ ‘อบราโมวิช’ ในเกมที่พลิกสถานการณ์บุกไปเอาชนะลูตัน ทาวน์ได้ในเกมเอฟเอคัพเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำให้สโมสรตลอด 19 ปีที่ผ่านมายังอยู่ในใจ

 

ที่แฟนเชลซีจะไม่มีวันลืม

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising