×

“อย่าให้คนลืมหนู” จดจำ รุ้ง ปนัสยา ผ่านมุมมองของ เมย์ เมธาวี พี่สาวของรุ้ง

โดย THE STANDARD TEAM
21.04.2021
  • LOADING...
“อย่าให้คนลืมหนู” จดจำ รุ้ง ปนัสยา ผ่านมุมมองของ เมย์ เมธาวี พี่สาวของรุ้ง

HIGHLIGHTS

10 mins. read
  • “เรามีสิทธิมีความสุขเหรอวะ” คือหนึ่งในความรู้สึกของพี่สาวรุ้ง ในวันที่น้องสาวต้องอยู่ในทัณฑสถานหญิง
  • สิ่งที่เกิดกับรุ้งทำให้การมองโลกของพี่สาวเปลี่ยนแปลงไป เมย์บอกว่าเดิมก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่พอน้องรุ้งได้ลงมือทำ ทำให้เมย์ได้มองสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง
  • “ต่อให้คนใกล้จะลืมหนู พี่เมย์ก็จะทำให้ทุกคนไม่ลืมหนู” นี่คือสิ่งที่เมย์อยากบอกกับรุ้ง น้องสาวที่สนิทที่สุด

 

เขาขอแค่อย่างเดียวคือ “อย่าให้คนลืมหนู” เสียงของเขาตอนนั้นเขากลัว มันเศร้ามากเลย มันบีบหัวใจพี่มากเลย มันเหมือนเขากลัวว่าเขาจะหายไปจากความคิดคน ถ้าวันหนึ่งคนไม่พูดถึงเขาแล้ว ชีวิตเขาในเรือนจำจะดำเนินไปอย่างไรต่อ ซึ่งอันนี้พี่เมย์ก็จะทำให้ได้

 

อิสรภาพของ ‘รุ้ง-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล’ ต้องถูกจำกัดลงเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 หลังศาลอาญา ถนนรัชดาฯ มีคำสั่งไม่ให้ปล่อยชั่วคราว ในคดีที่เธอตกเป็นจำเลย จากการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในหลายข้อหา รวมถึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการทำกิจกรรมทางการเมือง #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร 

 

ทำให้เธอต้องถูกควบคุมตัวเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง กรุงเทพมหานคร ซึ่งถือเป็นการถูกคุมขังในระหว่างพิจารณาคดี แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวหลายครั้งในเวลาต่อมา แต่ศาลก็ยังไม่อนุญาต แม้จะมีการระบุเหตุผลเกี่ยวเนื่องกับสิทธิการได้รับการประกันตัว และจำเลยย่อมถูกสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดก็ตาม 

 

ในเวลาต่อมาหลัง เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ซึ่งถูกดำเนินคดีเดียวกัน และมีชะตากรรมถูกคุมขังในเรือนจำ ได้ประกาศอดอาหารเพื่อประท้วงต่อกระบวนการยุติธรรม ทำให้ รุ้ง ปนัสยา ประกาศอดอาหารเช่นเดียวกัน นับเป็นเวลากว่า 20 วันแล้วที่รุ้งยังคงอดอาหารต่อเนื่อง และเป็นเวลา 44 วันแล้วที่เธอถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี

 

“อย่าให้คนลืมหนู” คือประโยคของรุ้งที่ถูกถ่ายทอดผ่าน เมย์-เมธาวี สิทธิจิรวัฒนกุล พี่สาวของรุ้ง ซึ่งเปิดใจหลายเรื่องกับ THE STANDARD ถึงวันที่ครอบครัวต้องห่างจากน้องรุ้ง

 

 

น้องไม่ได้เป็นตัวอันตรายกับสังคม เขาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อาวุธเขาก็แค่ความคิดแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลยที่ติดตัวไปในการเรียกร้อง เขามีแค่ความคิด ไม่มีอะไรที่จะทำอันตรายให้เกิดแก่สังคมหรือคนอื่นๆ เลย

 

อยากให้คุณเล่าถึงรุ้งในมุมของคนในครอบครัว ที่คนทั่วไปไม่เคยมองเห็น

 

ถ้าคนทั่วไปมองก็จะมองว่าเด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง หรืออีกมุมหนึ่งก็จะมองว่าก้าวร้าวจัง คือให้ลืมภาพนั้นไปเลย มันคนละเรื่องกับการที่เขาอยู่กับครอบครัว กับพี่สาวเลย รุ้งเป็นน้องคนสุดท้อง อายุ 22 ปีแล้วนะ เขาขี้อ้อนสุดๆ เรามีภาษาคุยกันพี่น้อง เราจะสนิทกันที่สุดในบรรดาพี่น้อง จะมีภาษาลับของเราสองคนคุยกัน เหมือนมินเนียน งุ้งงิ้งๆ คือฟังโทนเสียง มองตาก็รู้ใจกัน เขาเป็นเด็กธรรมดาเลย ถ้าย้อนกลับไปก่อนจะมาลงมือทำอะไรเต็มตัว เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ช้อปปิ้ง ไปคาเฟ่ มีไลฟ์สไตล์ปกติ ชอบแต่งหน้า บางทีอยากจะเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ด้วย

 

แม้จะเห็นภาพที่ออกมานำการชุมนุม ในมุมพี่สาวภาพของน้องแบบนั้นก็ยังอยู่

 

ก็คือเมย์เข้าใจ แยกได้ เป็นสิ่งที่เขาต้องทำในมุมนั้นของเขา มันเป็นตัวตนในพาร์ตหนึ่งของเขา แต่พออยู่กับครอบครัวก็จะเผยความอ่อนโยน มีที่พักพิง ก็จะแสดงตัวตนของเขาอีกด้าน

 

รุ้งเคยเล่าความฝันให้ฟังไหม

 

ก็มีหลายอย่าง ไปพบเจออะไรในชีวิตก็อยากจะเปลี่ยนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพูดถึงตอนเด็กๆ เลย ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเขาก็เคยอยากจะเป็นแอนิเมเตอร์ คือพี่เรียนนิเทศศิลป์ เขาก็เห็นพี่วาดรูปทุกวัน บางทีเขาอยากจะวาดตามบ้าง แต่เขาวาดเก่งกว่าพี่นะ เขาชอบดูการ์ตูน ดูไปถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ คือมีความสนใจในอะไรปุ๊บเขาจะสนใจมากๆ แล้วก็เหมือนพอโตขึ้นได้เข้าสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็อยากจะเป็นนักวิจัย วิจัยโครงสร้างสังคม คือพอเขาโตมาเขาอยากทำอะไรเพื่อสังคมมากกว่า เขาเห็นอะไรต่างๆ แล้วเขารู้สึกมีคำถามแล้วอยากจะลงมือศึกษา ตอนแรกอยากเป็นผู้สื่อข่าวด้วย

 

พอเขามายุ่งเรื่องการเมือง ที่บ้านซัพพอร์ตไหม 

 

ก็บอกตรงๆ ว่าไม่ได้อยากให้ยุ่ง ถ้าย้อนไปปีที่แล้ว มันจะเป็นเรื่องของคุณต้าร์ วันเฉลิม ที่ทำให้เขาก้าวเข้ามาเรื่องนี้เต็มตัว แค่น้องออกไปถือป้ายเฉยๆ ที่บ้านก็เป็นห่วงความปลอดภัยแล้ว

 

 

เป็นห่วงเพราะอะไร

 

คือเรื่องของคุณต้าร์ เราก็รู้กันดีว่าเป็นเรื่องอุ้มหาย เราเห็นถือป้ายก็รู้สึกตกใจว่าจะเป็นปัญหาอะไรไหม ก็สังคมไทยตอนแรกเราไม่ได้คิดถึงขั้นโดนจับ อาจแค่โดนปรับ โดนตักเตือน เราไม่ได้คิดว่าร้ายแรงขนาดนั้น ก็โดนรับทราบข้อกล่าวหาจริงๆ ตอนนั้นก็ไม่ได้อยากให้ทำต่อ ไม่ได้อยากให้น้องไปยุ่งวุ่นวายมาก แต่พอเรื่องราวไปถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ก็เหมือนวันเดบิวต์น้อง พูดง่ายๆ คือเป็นวันที่ทุกคนเริ่มรู้จักปนัสยาจริงๆ 

 

วันนั้นน้องก็โทรมาปรึกษาเรานะ ว่าจะพูด จะปราศรัย เรายังห้ามอยู่เลย มันน่ากลัวจริงๆ เพราะยุคนั้นเราย้อนไปแค่ปีที่แล้วนะ มันเป็นเรื่องที่ “เราพูดได้จริงๆ เหรอ” แล้วคนเขารับได้เหรอไปพูดแบบนั้น แล้วเขาก็ตัดสินใจไปพูด แล้วพอได้ฟังน้องพูดก็รู้สึกแล้วว่าชีวิตมันเปลี่ยนแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นเราก็ต้องอยู่ข้างน้อง จนผ่านไป 2 วัน วันที่ 13 สิงหาคม ก็มีข่าวมีแฮชแท็ก #saveปนัสยา

 

คิดอย่างไรเมื่อได้เห็นแฮชแท็ก

 

ตอนนั้นก็รู้สึกว่าต้องอยู่กับน้อง ขับรถจากต่างจังหวัดไปอยู่ข้างน้อง คือเราตัดสินใจแล้วตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ว่าครอบครัวจะเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย พี่เมย์ก็จะไม่ทิ้งน้องอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้นในตอนแรกเมย์จะเป็นคนที่รับรู้ทุกอย่างเลยคนเดียวในบ้าน แต่พ่อแม่เป็นห่วงก็ยื้อๆ อยู่ เราต้องพยายามประคับประคองความสัมพันธ์ของน้องและครอบครัว เขาเจอเรื่องหนักมากแล้ว พี่เมย์ก็อยากจะแบ่งเบาความรู้สึกเขา ให้พ่อแม่เข้าใจเขามากขึ้น

 

จากวันนั้นที่มีความกลัวเกิดในใจ ในฐานะพี่สาว วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง

 

ยังกลัวตลอด เป็นห่วง ถึงแม้เขาจะไม่ทำเรื่องการเมืองก็เป็นห่วงตลอดอยู่แล้ว แล้วตอนนี้มันล่วงเลยมาหลายเดือนกับเรื่องแบบนี้ มันห่วงมากขึ้น แต่มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นด้วย ว่าเราจะอยู่ข้างๆ น้อง

 

แล้ว Worst Case ที่สุด เรื่องการอยู่ในเรือนจำครั้งที่สองคืออะไร

 

เหมือนหลอกตัวเองนะ คือเมย์คิดว่ามีครั้งแรกแล้ว ครั้งที่สองจะไม่มีแล้วแหละ แต่พอถึงวันนี้พ่อก็บอกว่า ก็ทำใจ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ตั้งแต่ที่ออกมาจากเรือนจำรอบแรก คือคิดนะว่าหลังจากนี้มันคงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว มันทำใจไม่ได้ ต่อให้มีเวลาทำใจ จะให้กี่วันกี่เดือนมันไม่พอเลย คือปลายทางนี้เคยคิดบ้าง แต่ก็ภาวนาให้มันไม่มาถึง

 

 

มันทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่างเหมือนกันที่รุ้งออกมาทำแบบนี้ คือมันก็สอนเราเหมือนกันว่า เราโตกว่าไม่ใช่ต้องรู้ทุกเรื่อง เราก็ต้องให้น้องมาสอนเหมือนกัน ไม่ใช่แบบโตก่อน เกิดก่อน ต้องรู้มากกว่า จริงๆ แล้วเราก็ต้องฟังเด็กเหมือนกัน เพราะเขาเป็นรุ่นที่จะเติบโตในอนาคต

 

แล้วพอมันเกิดเรื่องกับน้องสาวที่สนิทกันมากๆ มันทำให้เรามีมุมมองต่อสังคมเปลี่ยนไปไหม

 

เปลี่ยน คือบอกตรงๆ ว่าเมย์ก็ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป แต่พอน้องรุ้งได้ลงมือทำ มันทำให้เราได้มองสังคมอีกรูปแบบหนึ่ง มันมีสิ่งที่เราเพิกเฉย มันมีสิ่งที่เรายังไม่รับรู้นะ มันทำให้เราได้เห็นอะไรหลายอย่างเหมือนกันที่รุ้งออกมาทำแบบนี้ คือมันก็สอนเราเหมือนกันว่า เราโตกว่าไม่ใช่ต้องรู้ทุกเรื่อง เราก็ต้องให้น้องมาสอนเหมือนกัน ไม่ใช่แบบโตก่อน เกิดก่อน ต้องรู้มากกว่า จริงๆ แล้วเราก็ต้องฟังเด็กเหมือนกัน เพราะเขาเป็นรุ่นที่จะเติบโตในอนาคต มันทำให้เรามองสังคมกว้างขึ้นว่าตอนนี้มันจะเติบโตไปเป็นอย่างไร

 

สิ่งที่เปลี่ยนมีอะไรบ้าง

 

มันทำให้เราเห็นความไม่ยุติธรรม หรือกระบวนการทางกฎหมาย ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความเท่าเทียมกัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงจะได้รับ ตอนแรกเราอาจจะใช้ชีวิตแบบ ใช้ชีวิตไปสิ ทำไมเราต้องไปยุ่งกับคนอื่น มันทำให้เรารู้ในความเป็นมนุษย์ เป็นสิ่งขั้นพื้นฐาน เราควรรู้เรื่องพวกนี้ และเห็นใจกันและกัน มันไม่ใช่เรื่องไกลตัว ใช้ชีวิตมาตั้งนานเพิ่งเห็น คงเพราะเป็นคนใกล้ตัวเราด้วยที่โดนกระทำ ภาพเลยเปลี่ยนไป

 

ตอนนี้มีมุมมองกับความยุติธรรมอย่างไร 

 

ความรู้สึกเมย์ ก็อยากจะบอกว่าเขาไม่ควรจะไปอยู่ในนั้น เขาควรได้รับโอกาส ได้ใช้ชีวิต เขาอายุเพียง 22 ปีเท่านั้นเอง อยากจะให้ใครก็ตามเห็นใจ เขายังต้องมีชีวิต อีกอย่างน้องไม่ได้เป็นตัวอันตรายกับสังคม เขาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อาวุธเขาก็แค่ความคิดแค่นั้นเอง ไม่มีอะไรเลยที่ติดตัวไปในการเรียกร้อง เขามีแค่ความคิด ไม่มีอะไรที่จะทำอันตรายให้เกิดแก่สังคมหรือคนอื่นๆ เลย ถ้ามันมีความยุติธรรมให้กับทุกๆ คนก็คงดี

 

การที่ได้เห็นภาพรุ้งในชุดนักโทษ มีความรู้สึกแบบไหน

 

คือครั้งล่าสุดที่เบิกตัวมาศาลแล้วใส่ชุดนักโทษ แต่ไม่ได้ใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่า ความรู้สึกพี่มันเจ็บปวด เขาไม่ควรไปอยู่ในสภาพนั้น ได้แต่มองว่าเราจะทำอย่างไรดี อยากให้น้องหลุดพ้นจากตรงนั้น ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือที่น้องขอไว้ตอนก่อนจะเข้าเรือนจำ 

 

เขาขอแค่อย่างเดียวคือ “อย่าให้คนลืมหนู” เสียงของเขาตอนนั้นเขากลัว มันเศร้ามากเลย มันบีบหัวใจพี่มากเลย มันเหมือนเขากลัวว่าเขาจะหายไปจากความคิดคน ถ้าวันหนึ่งคนไม่พูดถึงเขาแล้ว ชีวิตเขาในเรือนจำจะดำเนินไปอย่างไรต่อ ซึ่งอันนี้พี่เมย์ก็จะทำให้ได้ ก็จะพยายามให้ทุกคนจดจำ ว่าเขาเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มาเรียกร้องความเท่าเทียมแค่นั้นเอง สิ่งที่เขาขอมันไม่ได้เป็นภัยต่อใคร

 

ตอนนี้สิ่งที่เมย์ทำได้ก็เขียนโพสต์ในเฟซบุ๊กของน้องรุ้ง ว่าเขาอยากจะเขียนฝากถึงมวลชนอย่างไร อย่างเช่นเกี่ยวกับการฝากโพสต์ว่า คิดถึงเพื่อนๆ ที่เป็นผู้ต้องหาทางการเมือง คิดถึงมวลชนทุกคน อยากส่งกำลังใจให้ทุกคน เติมพลังใจให้ทุกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ แล้วก็ที่ล่าสุดคือยื่นหนังสือถึงสภา เรื่องความปลอดภัยในเรือนจำ แล้วก็พยายามเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนจดจำ

 

ทุกวันนี้ความหวังคืออะไร

 

หวังให้น้องออกมาเร็วๆ ที่สุดเท่าที่จะได้ แต่มันยาก ก็ยังลุ้นตลอดทุกครั้งที่ทนายไปยื่นคำร้องต่อศาล ก็จะเตรียมความพร้อมตลอดว่าจะไปรับน้อง

 

กลัวไหมว่าพอเราก้าวออกมาเป็นกระบอกเสียงแล้ว ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิม แล้วจะเจออย่างที่น้องเจอ

 

ไม่กลัวเลย น้องเรายังไม่กลัว ตอนนี้เราอยู่ข้างน้องเต็มตัวแล้ว เราอยากปกป้องน้อง อยากให้เขารับรู้ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่เมย์จะอยู่ข้างน้อง ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าจะไม่มีใครต่อสู้เพื่อเขา ไม่ว่าจะทำได้มากได้น้อยแค่ไหนก็จะพยายาม

 

 

ถามตัวเองว่า “เรามีสิทธิมีความสุขเหรอวะ” ถ้าน้องไม่สุขพี่ก็สุขไม่ได้ ถ้าน้องไม่ปลอดภัยพี่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน ในขณะที่เราใช้ชีวิตตอนนี้ รู้สึกห่วงตลอด มันไม่รู้ว่าเขาจะกินจะอยู่อย่างไร

 

สิ่งที่คิดถึงรุ้งที่สุด

 

อยากกอด เป็นห่วง เวลาที่เมย์จะกินข้าว ก็จะรู้สึกว่าเราจะกินข้าวได้เหรอ น้องรุ้งอยู่ข้างในนั้นจะกินข้าวอร่อยไหม จะนอน จะมีผ้าห่มนวมหนาๆ ไหม น้องนอนอย่างไร คือเมย์จะมีความรู้สึกผิดกับตัวเองตลอด จะกินข้าว จะนอน แล้วน้องทำอะไรอยู่ ทำให้เราไม่กล้าจะมีความสุข เหมือนแบบถามตัวเองว่า “เรามีสิทธิมีความสุขเหรอวะ” ถ้าน้องไม่สุขพี่ก็สุขไม่ได้ ถ้าน้องไม่ปลอดภัยพี่ก็อยู่เฉยๆ ไม่ได้เหมือนกัน ในขณะที่เราใช้ชีวิตตอนนี้ รู้สึกห่วงตลอด มันไม่รู้ว่าเขาจะกินจะอยู่อย่างไร เราเลี้ยงดูเขามาเรารู้ว่าเขาชอบกินอะไร คือน้องต้องไปเปลี่ยนตัวเอง เราสงสาร เราไม่อยากให้ไปเจอแบบนั้น

 

เคยโดนคุกคามอะไรไหม

 

เคยตั้งแต่ตอนแรก คนโทรมาตั้งแต่น้องเริ่มทำก็โดนเลย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าใครนะ “ทำไมไม่ห้ามน้อง” “เป็นพี่ประสาอะไร” คือเหมือนเขาแช่งเราถึงตาย ครอบครัวจะต้องโดนนะ ไม่อยากให้น้องมีชีวิตเหรอ เราก็งงทำไมถึงมาคุกคามเราขนาดนั้น เราก็ได้แต่ฟัง เราห้ามความคิดใครไม่ได้ ได้แต่ปล่อยผ่านไป

 

ล่าสุดก็โดนคุกคามอย่างหนัก เพราะหลังจากมีสื่อนำเสนอข่าวมาว่า น้องจะส่งไม้ต่อให้พี่ พี่เมย์จะมาเป็นแกนนำ เขาทำกันเป็นขบวนการ พี่เห็นเงินน้องแล้วอยากจะได้บ้างใช่ไหม คือเมย์โดนหนักมาก เราไม่มีสิทธิไปห้ามความคิดใคร เขาไม่ได้รู้จักเราไม่ได้รู้จักครอบครัวเราว่าเราโตมาอย่างไร เขาจะคิดอย่างนั้นก็ไม่แปลก ถามว่ารู้สึกแย่ไหมก็รู้สึกแย่ แต่ก็ทำใจไม่ได้คิดมากอะไร

 

เห็นอะไรบ้างที่เปลี่ยนไป ตอนที่ได้เจอน้อง

 

เขาพยายามเข้มแข็ง เมย์มองไปในแววตาเขา มันก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น การเข้าไปอยู่ในนั้นมันไม่สบายอยู่แล้ว แต่น้องรุ้งเขาอยากให้ครอบครัวสบายใจ อยากให้ทุกคนไม่คิดมาก เขาก็จะบอกว่า โอเค อยู่ได้ กินได้ นอนหลับดี แต่เราก็รับรู้ได้ว่าเขามีความเปราะบาง ด้วยความที่เขาเป็นผู้หญิงมันไม่ได้สบายอยู่แล้ว

 

คิดว่าสิ่งที่เขาน่าจะคิดถึงที่สุดหลังจากไปอยู่ในนั้นคืออะไร

 

สัตว์เลี้ยง เพราะนิสัยเขาขี้อ้อน แล้วค่อนข้างอินโทรเวิร์ตไม่ค่อยไปไหน เขาก็จะอยู่เล่นกับ แมว หนูแกสบี้ มีเม่นด้วย สัตว์เลี้ยงของน้องรุ้งค่อนข้างเยอะ ก็จะใช้ชีวิตกับสัตว์เลี้ยงต่างๆ เขาคงเหงา แมวมี 2 ตัว ตัวหนึ่งชื่อมัฟฟิน อีกตัวชื่อน้องเทา แล้วก็หนูแกสบี้ 4 ตัว อันนี้เพิ่งรับมาล่าสุดก่อนเข้าเรือนจำ 4 ตัว ชื่อจำยากนิดหนึ่ง แล้วตอนนี้หนูแกสบี้กำลังท้องด้วย แล้วก็มีเม่นอีก 4 ตัว ตอนนี้เม่นกับแมวทางบ้านดูแลให้ ส่วนหนูแกสบี้เพื่อนๆ ดูแลให้

 

 

เรื่องมันง่ายนิดเดียว มีคนคิดต่างก็รับฟังกัน ลองหาจุดกึ่งกลางซึ่งกันและกัน ทำให้เป็นเรื่องรุนแรงทำไม เหมือนคุณเลือกจะเดินหนีแล้วกีดกั้น แทนที่จะหันหน้าเข้าหากัน กีดกั้นกันทำไม เหมือนหลอกตัวเอง เราหันมาคุยกันก่อน

 

ตอนนี้ชีวิตคุณเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องชีวิต เรื่องงาน

 

มันเครียดกว่าเก่า ทั้งชีวิตตอนนี้หายใจเข้าหายใจออกเป็นแต่เรื่องน้อง คุยกับแฟนก็มีแต่เรื่องน้อง จะทำอย่างไรดี วันๆ เมย์จะเช็กมือถือ ช่องเสิร์ชก็จะเป็นชื่อน้องรุ้ง เราก็จะอัปเดตว่ามันมีข่าวอะไร บางทีเราก็รู้ทีหลังสื่อ แล้วก็คาดหวังว่าวันนี้คนยังพูดถึงน้องอยู่ไหม แล้วตอนนี้ก็เขียนไดอะรีให้น้องตลอด ว่าวันนี้พี่เมย์ไปทำอะไรมา วันนี้ใครพูดถึงน้องยัอย่างไร บ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็เขียนทุกวัน เพราะคราวก่อนน้องออกมาน้องก็งง เหมือนโดนวาร์ปด้วย ที่ว่าตอนนี้อะไรๆ มันเคลื่อนไหวเร็วมาก เราก็เขียนให้เผื่อเขาได้ออกมาจะได้อัปเดตชีวิตข้างนอก

 

คิดอย่างไรกับเรื่อง ‘อาชญากรรมทางความคิด’

 

คิดว่ามันไม่อันตรายนะ มันเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้วที่ทุกคนมีความคิดที่จะคิดอะไรก็ได้ ที่จะแสดงออกโดยที่ไม่ได้ทำอันตรายต่อใคร เขามีสิทธิที่จะมองสังคมรอบตัวเขา เกิดคำถามแล้วหาคำตอบ เมย์มองว่ามันไม่ควรเรียกว่าอาชญากรรมด้วยซ้ำกับแค่ความคิดคน และคนที่คิดต่างก็ไม่ควรถูกกักขัง 

 

เรื่องมันง่ายนิดเดียว มีคนคิดต่างก็รับฟังกัน ลองหาจุดกึ่งกลางซึ่งกันและกัน ทำให้เป็นเรื่องรุนแรงทำไม เหมือนคุณเลือกจะเดินหนีแล้วกีดกั้น แทนที่จะหันหน้าเข้าหากัน กีดกั้นกันทำไม เหมือนหลอกตัวเอง เราหันมาคุยกันก่อน เพราะมันไม่ใช่แค่คนสองคนเรียกร้องแบบนี้ มันเป็นการเรียกร้องของคนกลุ่มใหญ่นะ มันไม่ใช่แค่คนสองคนที่จะคอนโทรลได้ มีหลายๆ คนที่มีความเห็นต่าง เพราะฉะนั้นมันน่าจะมีปัญหานะ ดังนั้นหันหน้ามารับฟังแล้วแก้ปัญหาเท่านั้นเอง

 

เมย์ไม่ได้จะเรียกร้องให้น้องรุ้งได้ออกมาแค่คนเดียว เมย์รู้สึกว่าทุกคนควรได้รับความยุติธรรมเหมือนๆ กัน เมย์ก็อยากขอความเป็นธรรมให้กับทุกๆ คน ทุกคนก็เหมือนเมย์ที่พยายามต่อสู้ด้วยกัน

 

เวลาที่เจอญาติๆ ของคนที่โดนข้อกล่าวหาเดียวกัน แชร์อะไรกัน

 

เวลาเจอผู้ปกครองของแกนนำเราก็จะให้กำลังใจกัน ปลอบกัน เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของทุกคนยืนหยัดต่อสู้กับเด็กๆ ได้ เราต้องหล่อเลี้ยงใจกันและกัน เวลาเมย์เจอใครก็จะเป็นกำลังใจให้กัน เมย์ไม่ได้จะเรียกร้องให้น้องรุ้งได้ออกมาแค่คนเดียว เมย์รู้สึกว่าทุกคนควรได้รับความยุติธรรมเหมือนๆ กัน เมย์ก็อยากขอความเป็นธรรมให้กับทุกๆ คน ทุกคนก็เหมือนเมย์ที่พยายามต่อสู้ด้วยกัน

 

ในวันที่น้องได้ออกมา สิ่งที่อยากทำกับน้องคืออะไร

 

กอดแน่นๆ เลย พาไปพักผ่อน คือหนีความเครียดทั้งหลายทั้งปวง คือเขาพูดไว้ก่อนวันที่ 8 ว่า ถ้าวันนี้ไม่มีอะไรเราไปเที่ยวภูเก็ตกันเถอะ ไปทั้งบ้านเลยนะ เขายังอ้อนอยู่เลย ถ้าเขาได้ออกมาจริงๆ ก็ทำให้หมดแหละ อยากให้เขามีความสุขมากๆ อยากเติมความสุขให้เขามากที่สุด

 

คิดว่าความผิดที่น้องได้ทำจนเป็นเหตุให้มาถึงจุดนี้คืออะไร ในมุมมองของพี่สาว

 

เมย์ว่าเหมือนเขาอยู่ในจุดที่เหมือนทุกคนยังไม่สามารถเปิดใจรับความคิดเขาได้มากกว่า จะเรียกว่าผิดพลาดมันก็ไม่ถูก มันช่วยไม่ได้จริงๆ เหมือนกับว่าในสถานการณ์ตอนนี้ทุกคนยังไม่เปิดใจเต็มร้อยกับความคิดของน้องรุ้งที่แสดงออก มันก็เลยกลายเป็นว่าแตกเป็นสองฝ่าย คนคิดเหมือนน้อง คนคิดไม่เหมือนน้อง ก็กลายเป็นว่าเราสู้กับอะไรก็ไม่รู้ เราต้องยอมรับว่าเราไม่มีอำนาจไปบีบบังคับใครให้เหมือนเรา เราคิดต่าง เราไม่เห็นด้วยกับคนอื่นเราก็ผิดหมด ไม่อยากมองว่าเป็นความผิดพลาด มันแค่ตอนนี้ความคิดเรามันต่างกันแค่นั้นเอง

 

 

อยากให้เขาลบภาพที่น้องแข็งกระด้างเป็นแกนนำ ให้มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มองว่าเขามีชีวิตที่จะต้องเดินต่อ เขาเป็นหนึ่งคนที่จะเป็นอนาคตของประเทศนี้ สิ่งที่น้องทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อสังคมทั้งนั้น

 

ถ้าสมมติว่าตอนนี้ได้พูดกับน้อง อยากบอกอะไรกับน้อง

 

ไม่รู้จะบอกอะไรนะ จริงๆ ก็บอกตลอดว่าเป็นห่วง จะดูแลปกป้องตลอด ตอนนี้พี่เมย์ปกป้องได้เท่านี้ แต่พี่เมย์ก็จะพยายาม พี่เมย์จะไม่ให้ใครลืมหนูแน่นอน อยากให้หนูไม่ต้องกังวลอะไร มีความสุขตลอด ถ้าหันกลับมาไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายอะไร ครอบครัวเราพร้อมต้อนรับน้องรุ้งเสมอ เราจะเป็นที่พักพิงให้น้องตลอดไป

 

ถ้าพูดให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครลืมน้อง จะพูดอะไร

 

น้องรุ้งไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีใครลืมหนูแน่นอน หนูคือผู้กล้านะ ไม่ต้องห่วงเลยนะเรื่องที่หนูกังวล ต่อให้คนใกล้จะลืมหนู พี่เมย์ก็จะทำให้ทุกคนไม่ลืมหนู

 

ถ้าคนมีอำนาจฟังอยู่ อยากบอกอะไรกับเขา

 

อยากให้เขาเห็นใจ อยากให้เขาลบภาพที่น้องแข็งกระด้างเป็นแกนนำ ให้มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มองว่าเขามีชีวิตที่จะต้องเดินต่อ เขาเป็นหนึ่งคนที่จะเป็นอนาคตของประเทศนี้ สิ่งที่น้องทำไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อสังคมทั้งนั้น เป็นคนคนหนึ่งที่พยายามเรียกร้องอะไรก็ตามเพื่อสังคม การที่ถูกกักขังมันไม่สมเหตุสมผล เขาต้องเรียนหนังสือ เขาทำตามกฎหมายมาตลอด ได้หมายมาเขาก็ดำเนินเรื่องรับทราบ เรียกสอบสวนก็ไป เราทำตามขั้นตอนมาตลอด ไม่มีทางหลบหนีอยู่แล้ว ก็อยากให้พิจารณาดูว่าสิ่งที่ทำตอนนี้มันเกินไปหรือเปล่า อยากให้พิจารณาว่าเด็กคนนี้ก็มีโอกาสที่จะใช้ชีวิตข้างนอก มีอิสรภาพเหมือนกัน

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising