หลายคนคงเคยมีความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า ‘ถ้าฉันลาออกไป บริษัทจะเป็นอย่างไร’ บางคนอาจกังวลว่างานจะสะดุด ธุรกิจจะเสียหาย หรือแม้กระทั่งทีมจะพังทลายลง กลายเป็นความกลัว จนทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง ไม่กล้าลาออก แม้จะรู้สึกอึดอัดและไม่มีความสุขกับงานก็ตาม
ความคิดเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้เราลังเลที่จะลาออกจากงานที่ไม่ชอบหรือไม่เหมาะกับเรา บทความนี้จึงอยากพาทุกคนไปเปิดใจและเรียนรู้มุมมองใหม่เกี่ยวกับ ‘การลาออก’ ว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
-
ไม่มีใคร Indispensable
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon พบว่า 75% ของพนักงานที่ลาออก ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ อธิบายง่ายๆ คือ ‘บริษัทจะอยู่ได้’ แม้จะไม่มีเรา
-
การลาออกเป็นโอกาส
การลาออกเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้ค้นหาตัวเอง พัฒนาทักษะใหม่ และเติบโตในสายงานที่ใช่ งานวิจัยจาก Harvard Business Review พบว่า 90% ของคนที่ลาออก รู้สึกพอใจกับชีวิตหลังลาออกมากกว่าตอนที่ทำงานเก่า และงานวิจัยจาก McKinsey & Company พบว่า 60% ของพนักงานที่ลาออก รู้สึกพึงพอใจกับชีวิตหลังลาออกมากกว่าตอนทำงาน
นอกจากนี้การลาออกเป็นโอกาสให้เราได้ค้นหาตัวเอง พัฒนาศักยภาพ และลองทำสิ่งใหม่ๆ การอยู่กับงานเดิมๆ นานๆ อาจทำให้เราหยุดนิ่ง ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ การลาออกจึงเป็นโอกาสให้เราได้ก้าวออกจาก Comfort Zone ค้นหาสิ่งที่เราชอบและเหมาะกับเรามากกว่า
-
การลาออกเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
องค์กรเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิต ย่อมมีกลไกในการปรับตัวอยู่เสมอ เมื่อพนักงานลาออก องค์กรก็จะมีวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น กระจายงานไปยังพนักงานคนอื่น หรือจ้างพนักงานใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก เช่น การปรับโครงสร้างองค์กร การพัฒนาสวัสดิการ หรือการทบทวนนโยบายการทำงาน
-
การลาออกไม่ใช่ความผิด
บางคนอาจรู้สึกผิดและกังวลว่า การลาออกจะเป็นการทรยศต่อองค์กร แต่เราต้องเข้าใจว่าการทำงานเป็นสัญญาจ้างระหว่างสองฝ่าย เราสามารถเลือกที่จะยุติสัญญาเมื่อไรก็ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด
-
ลาออกอย่างมืออาชีพ
แม้จะตัดสินใจลาออกแล้ว แต่เราควรทำอย่างมืออาชีพ แจ้งลาออกล่วงหน้าตามระเบียบ ส่งมอบงานต่ออย่างเรียบร้อย และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน
การลาออกไม่ใช่จุดจบ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ เราสามารถมองการลาออกในแง่บวก ใช้โอกาสนี้พัฒนาตัวเอง ค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับเรา และอย่าลืมว่า ‘ไม่มีเรา องค์กรก็อยู่ได้’
อ้างอิง: