×

EURO 2020: เหตุผลที่อังกฤษจะคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโร 2020

โดย THE STANDARD TEAM
11.07.2021
  • LOADING...
ฟุตบอล ยูโร อังกฤษ

HIGHLIGHTS

4 mins. read
  • อังกฤษเป็นชาติเดียวใน 24 ชาติที่มีกองหน้ายิงรวมกันได้เกิน 6 ประตู นั่นคือ แฮร์รี เคน ที่ยิง 4 ประตู และ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่ยิงไป 3 ประตู
  • ทีม ‘สิงโตคำราม’ เสียประตูน้อยที่สุดในบรรดาชาติทั้งหมด โดยจนถึงรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาเสียไปแค่ 1 ประตูเท่านั้น
  • แกเร็ธ เซาท์เกต กล้าที่จะปรับทีมตามสถานการณ์เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่ง เขายังไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์และจัดทีมในแบบที่ตัวเองเชื่อมั่นจนได้ผลลัพธ์ที่ดีด้วย
  • อังกฤษมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในเวมบลีย์ พวกเขาเอาชนะคู่แข่งในสนามแห่งนี้ได้ 15 จาก 18 นัดที่ลงเล่น นับตั้งแต่จบฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมา

อังกฤษเดินทางมาถึงรอบชิงชนะเลิศในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์ครั้งแรกในรอบ 55 ปี พวกเขาห่างอีกเพียงแค่ชัยชนะนัดเดียวเท่านั้นในการคว้าแชมป์ฟุตบอลยุโรปครั้งแรกมาครอง หลังจากที่ไม่เคยเดินทางมาถึงรอบชิงมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ และนี่คือเหตุผลที่จะช่วยสนับสนุนว่าทำไมทัพ ‘สิงโตคำราม’ ของ แกเร็ธ เซาท์เกต ถึงสมควรจะเป็นผู้ชนะในเกมกับอิตาลี คืนวันอาทิตย์นี้

 

แฮร์รี เคน กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำรวมกันไปแล้วถึง 7 ประตู

แฮร์รี เคน กับ ราฮีม สเตอร์ลิง ทำรวมกันไปแล้วถึง 7 ประตู

 

แนวรุกระดับท็อป 

ไม่ว่าจะด้วยสถิติหรือชื่อชั้นก็ล้วนแต่บ่งบอกได้ว่าแนวรุกของทีมชาติอังกฤษชุดนี้อยู่ในระดับแนวหน้าของทัวร์นาเมนต์อย่างยากจะปฏิเสธ เพราะในบรรดา 24 ชาติที่ได้เข้ามาเล่นในรอบสุดท้ายของฟุตบอลยูโร 2020 คราวนี้มีชาติเดียวเท่านั้นที่แนวรุกของทีมยิงได้รวมกันเกิน 6 ประตู นั่นก็คือทีมชาติอังกฤษที่มี แฮร์รี เคน ยิงไป 4 ประตู กับ ราฮีม สเตอรลิง ยิงไปอีก 3 ประตู

 

และไม่ใช่แค่การจบสกอร์เท่านั้น นักเตะอังกฤษยังมีทั้งความเร็ว ความเฉียบคม และความแน่นอน พวกเขาไม่ได้สร้างโอกาสยิงถล่มทลายแบบอิตาลีคู่แข่งในรอบชิง แต่ทุกครั้งที่พวกเขาได้จบสกอร์ กลับมีโอกาสได้ประตูมากที่สุด โดยถึงตอนนี้อังกฤษสร้างโอกาสยิงไปแล้ว 58 ครั้ง น้อยกว่าอิตาลีที่ทำได้ 108 ครั้งเกือบครึ่ง พวกเขายิงได้ถึง 10 ประตู น้อยกว่าอิตาลีแค่ 2 ประตูเท่านั้น นั่นหมายความว่าทุกโอกาสเข้าทำราว 6 ครั้ง อังกฤษจะได้ 1 ประตู แต่อิตาลีต้องเข้าทำถึง 12 ครั้งเพื่อที่จะได้ 1 ประตูเท่ากัน

 

นั่นเองที่ทำให้อังกฤษกลายเป็นทีมที่น่ากลัวมากในแดนหน้า แถมเมื่อพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากกองกลางที่น่ากลัวซึ่งมีอยู่เต็มทีมอย่าง ฟิล โฟเดน, แจ็ค กรีลิช หรือ บูกาโย ซากา นั่นยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในแดนหน้าถูกแสดงออกมาได้ถึงที่สุด เนื่องจากกองกลางเหล่านั้นจะเป็นคนที่ช่วยดึงตัวประกบ และเล่นงานแนวรับของคู่แข่งจนทำให้แนวรุกมีพื้นที่มากพอแบบที่เกิดขึ้นในเกมกับยูเครนรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

อย่างไรก็ตามอิตาลีก็ได้แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่แข็งแกร่งในเกมพบกับสเปนมาแล้ว ดังนั้นนี่จึงเป็นบททดสอบสำคัญที่แนวรุกอังกฤษจะต้องเผชิญหน้าและฝ่าฟัน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า แนวรุกของพวกเขาคือ ‘ของจริง’ และมีดีพอที่จะเจาะเกมรับของทีมอย่างอิตาลีได้ และถ้าหากพวกเขาทำสำเร็จ นอกจากจะพิสูจน์ตัวเองได้แล้วรางวัลของมันอาจจะหมายถึงแชมป์แรกในรอบ 55 ปีก็ได้

 

แฮร์รี แม็กไกวร์ หัวใจในเกมรับของทีมชาติอังกฤษชุดนี้

แฮร์รี แม็กไกวร์ หัวใจในเกมรับของทีมชาติอังกฤษชุดนี้

 

แนวรับสุดแกร่ง

ถ้าย้อนไปสัก 5 ปีก่อน เมื่อพูดถึงเกมรับสุดแกร่งในวงการฟุตบอลระดับชาติ ใครๆ ก็ต้องเอ่ยชื่ออิตาลี แต่อังกฤษคือชาติที่เริ่มแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ดีในเกมรับอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฟุตบอลโลก 2018 พวกเขาก็อาศัยเกมรับผ่านทีมชั้นนำมาอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ แม้ไม่ถึงฝั่งฝัน แต่อังกฤษก็ยังเดินหน้าพัฒนาตัวเองต่อไปจนเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศในรายการเนชันส์ลีกอีกครั้ง

 

มาในฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้ แนวรับของอังกฤษเบ่งบานอย่างเต็มที่ พวกเขากลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในการแข่งขันไปแล้ว ด้วยการเสียไปเพียง 1 ประตูจาก 6 นัด ซึ่งประตูเดียวที่เสียก็มาจากลูกนิ่งอย่างการปั่นฟรีคิกของ มิคเกล ดัมส์การ์ด นั่นหมายความว่าพวกเขายังไม่เสียประตูให้ใครจากลูกโอเพ่นเพลย์เลยแม้แต่ครั้งเดียวในทัวร์นาเมนต์นี้ด้วย ซึ่งน่าประทับใจมาก

 

หัวใจหลักที่ทำให้อังกฤษโชว์ฟอร์มในเกมรับได้อย่างยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ก็ต้องยกเครดิตให้กับคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่แข็งแกร่งอย่าง จอห์น สโตนส์ กับ แฮร์รี แม็กไกวร์ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง โดยภายใต้การทำงานของเขาทั้งคู่ อังกฤษทำให้คู่แข่งยิงบอลเข้ากรอบได้เพียงแค่ 13 ครั้งจาก 6 เกมที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสถิติที่น้อยที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขัน

 

อย่างไรก็ตามการเจอกับอิตาลีจะเป็นบททดสอบที่คู่ควรสำหรับแนวรับอังกฤษ เพราะอย่าลืมว่าอิตาลีคือชาติที่สร้างโอกาสได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของฟุตบอลยูโรครั้งนี้รองจากสเปนทีมเดียวเท่านั้น และแนวรุกของพวกเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้คู่แข่งทีมไหนขึ้นเกมจากแดนหลังได้ง่ายๆ ด้วย ตรงจุดนี้ที่อังกฤษยังไม่เคยถูกทดสอบอย่างจริงจังมาก่อนในการแข่งขันคราวนี้ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องผ่านมันไปให้ได้หากอยากได้แชมป์มาครอง

 

แกเร็ธ เซาท์เกต คุมทีมลงซ้อมเพื่อเตรียมรับมือกับอิตาลี

แกเร็ธ เซาท์เกต คุมทีมลงซ้อมเพื่อเตรียมรับมือกับอิตาลี

 

รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงชนะ 

แกเร็ธ เซาท์เกต พูดไว้อย่างน่าสนใจในการให้สัมภาษณ์ก่อนเกมที่จะพบกับอิตาลีว่า “อิตาลี มีแนวทางการเล่นที่ชัดเจน มีสปิริต พละกำลัง และแท็กติกที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทำได้ดีมาก สไตล์การเล่นแตกต่างจากตอนที่ผมยังเด็กเยอะ แต่ก็ทันสมัยมากๆ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม” มองเผินๆ ดูเหมือนเขาพยายามลดความกดดันให้ทีมตัวเองโดยยกย่องคู่แข่ง แต่ถ้ามองไปในเชิงลึกจะเห็นว่าเซาท์เกตรู้ตัวดีว่ากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไร

 

ที่ผ่านมาอังกฤษจัดการกับคู่แข่งโดยใช้เกมรับและเล่นอย่างอดทนเหมือนกับอิตาลีในอดีต แต่ในจังหวะและโอกาสที่เอื้ออำนวย พวกเขาก็เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นจนบดขยี้คู่แข่งได้แบบราบคาบเหมือนในเกมที่พวกเขาเอาชนะยูเครน นั่นหมายความว่าอังกฤษสามารถกำหนดรูปแบบการแข่งขันที่พวกเขาจะใช้ได้ตามใจปรารถนา โดยปรับมันตามคู่แข่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วย

 

เซาท์เกตมีความเข้าใจเกมและสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ในทัวร์นาเมนต์นี้ทุกการเปลี่ยนแปลงทีมของเขามีความหมาย และสามารถพลิกเกมได้ นั่นสื่อให้เห็นว่าเขารู้ดีว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเอาชนะเกมได้ นอกจากนั้นแล้วเขายัง ‘กล้า’ ที่จะคิดและตัดสินใจทำอะไรที่สวนกระแส อย่างการให้ ราฮีม สเตอร์ลิง ลงเล่นแม้จะไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอล จนนักเตะจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้โชว์ฟอร์มอย่างยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนต์นี้

 

กลับกัน นายใหญ่ทีมชาติอังกฤษก็กล้าจะปรับทัพแบบไม่เกรงใจใคร เมื่อต้องการให้ทีมเป็นไปแบบที่เขาคาดหวัง หลักฐานคือการถอด แจ็ค กรีลิช ที่เพิ่งส่งลงไปเป็นตัวสำรองออกในช่วงต่อเวลาพิเศษ เพื่อเสริมแนวรับอย่าง คีแรน ทริปเปียร์ ลงไป โดยมีจุดมุ่งหมายในการยันสกอร์ให้ได้ตามที่เขาต้องการ จนในท้ายที่สุดอังกฤษสามารถเอาชนะเดนมาร์ก เข้าสู่รอบชิงได้ในท้ายที่สุด

 

เวมบลีย์ที่มีแฟนบอลในนั้น สร้างแรงกดดันให้คู่แข่งของอังกฤษได้เสมอ

เวมบลีย์ที่มีแฟนบอลในนั้น สร้างแรงกดดันให้คู่แข่งของอังกฤษได้เสมอ

 

เวมบลีย์มีมนต์ขลัง 

อังกฤษในสนามเวมบลีย์ นอกจากหมายความว่าพวกเขาจะได้เล่นในบ้านท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนบอลหลายหมื่นคนของตัวเองแล้ว มันยังหมายถึงการได้เล่นในสนามที่พวกเขาคุ้นเคย และทำผลงานได้ดีที่สุดด้วย และเหตุการณ์นี้ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษได้ชิงชนะเลิศในเวมบลีย์ ซึ่งสุดท้ายผลก็ออกมาตามความคาดหมายด้วยการคว้าแชมป์โลกครั้งแรกของอังกฤษ และเกมนี้พวกเขาก็มีโอกาสจะทำแบบนั้นกับฟุตบอลยูโรในครั้งนี้

 

ทีมของ แกเร็ธ เซาท์เกต โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมเสมอในสนามแห่งนี้ โดยนับตั้งแต่จบฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย อังกฤษลงเล่นในเวมบลีย์ไปแล้ว 18 เกม ชนะได้ถึง 15 เกม ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่า ‘ไร้เทียมทาน’ แต่มันคือสถิติที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยส่งเสริมความมั่นใจให้กับนักเตะในทีมได้อย่างมาก พร้อมกันนั้นเสียงเชียร์อันกึกก้องยังคอยกดดันฝังตรงข้ามไม่มากก็น้อยตามไปด้วย

 

อย่างไรก็ตามในบางทฤษฎีก็มีความเชื่อกันว่า การเล่นต่อหน้าแฟนบอลของตัวเองซึ่งมีความคาดหวังให้พวกเขาคว้าแชมป์ให้ได้นั้นเป็นการกดดันตัวเองไปในตัว แน่นอนว่าถ้าสามารถนำก่อนได้ เสียงเชียร์จะยิ่งช่วยปลุกเร้าพวกเขาให้มั่นใจกับการเล่นในเวลาที่เหลือ และเผาผลาญแรงใจของคู่แข่งไปพร้อมๆ กัน แต่ถ้าถูกนำก่อนหรือเล่นไม่ดี เสียงเชียร์ก็อาจจะเงียบลงและกลายเป็นการกดดันตัวเองไปในเวลาเดียวกัน

 

ถึงวันนั้นอังกฤษต้องพิสูจน์ว่า พวกเขาจะใช้ความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าบ้านในการลงสนามนัดชิงชนะเลิศได้มากเพียงไร และถ้าพวกเขาทำมันได้ดี สนามเวมบลีย์และแฟนบอลในสนามแห่งนี้จะกลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญที่จะเล่นงานอิตาลีให้ล้มลงไปกองกับพื้นได้ไม่ยากเลย!

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising