เป็นเวลาเกือบสองทศวรรษแล้วที่ Apple และจีนเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกไม่เพียงแต่ผลิตอุปกรณ์ Apple จำนวนมากเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญของยอดขายด้วย
อย่างไรก็ตามในปีนี้รอยร้าวหลายจุดเริ่มปรากฏในความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ความวุ่นวายส่วนใหญ่ได้รับแรงผลักดันจากกลยุทธ์ ‘Zero-COVID’ ของจีน โดยการปิดล็อกอย่างเข้มงวดในส่วนสำคัญของประเทศเมื่อต้นปีนี้ ได้หยุดการผลิตในโรงงานหลายแห่ง รวมถึงโรงงานของ Foxconn และ Pegatron ที่เป็นพันธมิตรด้านการผลิตของ Apple และส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ทิม คุก ซีอีโอของ Apple เตือนในระหว่างการเผยผลประกอบการไตรมาสล่าสุดในเดือนเมษายนว่า ปัญหาคอขวดในห่วงโซ่อุปทานของจีนอาจทำให้ธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบสูงถึง 8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสถัดไป
รายงานของ CNN Business ชี้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การพึ่งพาจีนของ Apple ที่สร้างความปวดหัวให้กับบริษัท หนึ่งปีก่อนการระบาดใหญ่ Apple เตือนว่ายอดขาย iPhone ได้ชะลอตัว ท่ามกลางสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน Apple ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบสภาพการทำงานที่โรงงานของซัพพลายเออร์บางแห่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใดในตอนนี้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่ายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีไม่น่าจะ (และอาจไม่สามารถ) ถอนตัวจากจีนได้ในอนาคตอันใกล้
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากลุ่มผู้ผลิตเทคโนโลยีต้องการย้ายออกจากจีน พวกเขาไม่สามารถรับความเสี่ยงจากการหยุดชะงักในการจัดหาได้อย่างต่อเนื่อง และพวกเขาต้องการควบคุมความสามารถในการให้บริการลูกค้าได้ดีขึ้น” ลิซ่า แอนเดอร์สัน ซีอีโอของ LMA Consulting Group กล่าว “แต่ด้วยขนาดของจีน การเปลี่ยนแปลงจึงต้องใช้เวลาและการลงทุน”
คุกนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับแดนมังกรตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมานั่งตำแหน่งแม่ทัพด้วยซ้ำ แต่ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น The Wall Street Journal รายงานเมื่อต้นปีนี้ว่า Apple กำลังมองหาการเพิ่มการผลิตในประเทศต่างๆ เช่น เวียดนามและอินเดีย โดยอ้างนโยบายด้านโควิดที่เข้มงวดของจีนเป็นเหตุผลหนึ่ง
อย่างไรก็ตามจีนได้ใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาแรงดึงดูดใจในการผลิต ความสามารถด้านวิศวกรรมในท้องถิ่น และระบบนิเวศของห่วงโซ่อุปทานที่เหนียวแน่น ซึ่งจะยากต่อการทำซ้ำในที่อื่นๆ
สิ่งที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นสำหรับ Apple คือความจริงที่ว่าจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดนอกสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบัน Apple คิดเป็น 18% ของตลาดสมาร์ทโฟนในจีน และจีนคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของยอดขายทั่วโลกของ Apple ตามข้อมูลของ Canalys
กระนั้นการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดไม่ได้เป็นเพียงอุปสรรคเดียวที่ Apple อาจเผชิญในประเทศจีน เพราะความตึงเครียดระหว่างปักกิ่งและวอชิงตันเกี่ยวกับไต้หวันได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ โดยไต้หวันยังเป็นฐานของซัพพลายเออร์รายใหญ่หลายรายของ Apple รวมถึง Foxconn, Pegatron และ Wistron และได้กลายเป็นศูนย์กลางระดับโลกสำหรับชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่
“ในขณะที่การล็อกดาวน์จากโควิดจะบังคับให้บางบริษัทต้องกระจายสถานที่ผลิตของตน นโยบายปลอดโควิดจะไม่ทำลายสถานะของจีนอย่างถาวร” พอล ทริโอโล รองประธานอาวุโสของ Dentons Global บอกกับ CNN Business พร้อมเสริมว่า ในทางกลับกัน การยกระดับครั้งใหญ่ในไต้หวัน ‘จะเป็นป้ายบอกทางที่สำคัญกว่ามากในการกำหนดอนาคตของจีนในฐานะศูนย์กลางการผลิต’
แต่สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนว่า Apple จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยืนหยัดต่อไปในแดนมังกร
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP