ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขในกาซาระบุว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 45 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการถูกอิสราเอลโจมตีทางอากาศในเมืองราฟาห์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (26 พฤษภาคม) นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีกหลายร้อยคนจากแผลไหม้ กระดูกหัก และเศษกระสุน
การโจมตีดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำสั่งให้อิสราเอลหยุดปฏิบัติการทางทหารในราฟาห์ทันที ท่ามกลางวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่อยู่ในขั้น ‘หายนะ’ แต่อิสราเอลอ้างว่าการโจมตีครั้งนี้มุ่งหมายปลิดชีพกลุ่มฮามาส ซึ่งมีผู้นำฮามาสเสียชีวิต 2 คน
ล่าสุด เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศกร้าวต่อรัฐสภาว่า การโจมตีจะยังดำเนินต่อไป และจะไม่หยุดทำสงครามกับฮามาสจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า การโจมตีจนมีพลเรือนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากครั้งนี้เป็นเคราะห์ร้ายที่น่าสลดใจ ซึ่งระหว่างนี้จะตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าว
เนทันยาฮูอ้างว่า อิสราเอลให้ความสำคัญกับการหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไม่ให้พลเรือนเสียชีวิต พร้อมยืนยันว่า กองทัพอิสราเอล (IDF) พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อไม่ทำอันตรายต่อประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องในเหตุขัดแย้งครั้งนี้
แต่องค์กรเสี้ยววงเดือนแดงปาเลสไตน์ระบุว่า การโจมตีทางอากาศครั้งนี้มุ่งเป้าไปที่ค่ายผู้พลัดถิ่นชาวปาเลสไตน์ใกล้กับศูนย์พักพิงของ UN ในทัลอัลสุลต่าน ห่างจากใจกลางเมืองราฟาห์ราว 2 กิโลเมตร
การกล่าวในสภาของเนทันยาฮูถูกขัดจังหวะเป็นบางช่วงจากครอบครัวของตัวประกันที่ถูกฮามาสจับตัวไปตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า ไม่สามารถทำข้อตกลงกับฮามาสเพื่อแลกเปลี่ยนกับอิสรภาพของคนในครอบครัวได้
ด้าน โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า การโจมตีของอิสราเอลระลอกล่าสุดบ่งชี้ว่า อิสราเอลยังไม่เปลี่ยนวิธีการทำสงคราม แม้ว่าจะนำไปสู่การเสียชีวิตของพลเรือนจำนวนมากก็ตาม
ส่วนสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาประณามอิสราเอล และเรียกร้องให้อิสราเอลปฏิบัติตามคำสั่งของศาล
ภาพ: Abed Rahim Khatib / picture alliance via Getty Images
อ้างอิง: