‘P&G’ ยักษ์ผู้ผลิตสินค้าคอนซูเมอร์ ประกาศปรับราคารับต้นทุนค่าขนส่ง-ดอลลาร์แข็ง เริ่มกระทบรายได้และกำไรบริษัท แม้อาจกระทบการใช้จ่ายผู้บริโภค
Reuters รายงานว่า P&G บริษัทผลิตสินค้าคอนซูเมอร์สัญชาติอเมริกัน มีแบรนด์เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มผู้บริโภคหลายแบรนด์ เช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ผ้าไทด์, ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก เครสต์, ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม แพนทีน, แชมพูขจัดรังแค เฮดแอนด์โชว์เดอร์, โอเลย์ และสบู่เซฟการ์ด ล่าสุดเตรียมขึ้นราคาสินค้าอีกรอบ ซึ่งจะมีผลในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อรองรับต้นทุนและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น เพราะเริ่มมีผลต่อยอดขายและกำไรของบริษัท เห็นได้จากภาพรวมยอดขายลดลง 1% สู่ระดับ 2.077 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.073 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- P&G ผู้ใช้เงินโฆษณาปีละ 3.25 แสนล้าน บอกเอง ‘ทีวีล้าสมัยไปแล้ว’ ยุคต่อไปของโฆษณาคือ สตรีมมิง เกมมิง และพอดแคสต์
- อั้นไม่ไหว! McDonald’s ในญี่ปุ่น ขอปรับราคารอบ 2 ทำ ‘เบอร์เกอร์-ชุดเมนูสุดคุ้ม’ ขึ้นกว่า 80% รับต้นทุนพุ่งไม่หยุด
- Sony เปิดตัว Walkman รุ่นใหม่ ด้วยราคา 14,000 บาท จนถูกมองว่าแพงกว่าสมาร์ทโฟนบางรุ่น แต่โทรออกไม่ได้
ขณะที่กำไรในช่วงไตรมาส 2 ลดลงเช่นเดียวกัน แม้บริษัทปรับขึ้นราคาสินค้า แต่ก็ไม่สามารถชดเชยยอดขายที่หายไปได้ ซึ่งเป็นผลจากอัตราการบริโภคที่ลดลง เช่นเดียวกับราคาหุ้นของ P&G ร่วงลง 2.4% สู่ระดับ 142.0 ดอลลาร์ ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา
หากย้อนกลับไปในช่วงปีที่ผ่านมา P&G ได้ขึ้นราคาสินค้าครั้งใหญ่ไปแล้ว โดยขึ้นราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 10% เพื่อให้สอดรับกับต้นทุนค่าขนส่งและค่าแรงงาน แต่ต้องยอมรับว่าการปรับขึ้นราคาในแต่ละครั้งอาจทำให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าลดลง
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ P&G ตัดสินใจปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะเชื่อว่ายังสามารถเติบโตไปได้ โดยเฉพาะอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ รวมถึงตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสอง แม้ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้หลังการล็อกดาวน์ของโควิด แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ดี
Andre Schulten ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ P&G กล่าวว่า ปัจจุบันร้านค้าของ P&G ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการทำสงครามลดราคา เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้คาดการณ์รายได้รวมปี 2022 ยังค่อนข้างทรงตัว หรือลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรจะเพิ่มขึ้น 4%
อ้างอิง: