×

วิเคราะห์ 4 ทีมแห่งพรีเมียร์ลีก กับภารกิจพิชิต 2 ถ้วยยุโรป เพื่อพาลีกอังกฤษกลับมาผงาดอีกครั้ง

29.04.2019
  • LOADING...
Premier League last 4

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • รายการฟุตบอลยุโรปทั้ง ‘ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก’ และ ‘ยูฟ่ายูโรปาลีก’ เดินทางเข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้าย ซึ่งอุดมไปด้วยทีมจากอังกฤษรายการละ 2 ทีม
  • ฤดูกาลนี้นับว่าเป็นปีพิเศษที่ทีมจากอังกฤษมีโอกาสได้ถ้วยยุโรปทั้ง 2 ใบในคราเดียวกัน

บทสรุปของฟุตบอลลีกทั่วทวีปยุโรปเริ่มเผยออกมากันบ้างแล้ว รวมถึงศึกฟุตบอลรายการยุโรปทั้ง ‘แชมเปี้ยนส์ลีก’ และ ‘ยูโรปาลีก’ ที่เดินทางมาถึงรอบ 4 ทีมสุดท้าย และไม่รู้ว่าด้วยเหตุบังเอิญหรืออย่างไร ที่ปีนี้มีทีมจากอังกฤษหลุดเข้าสู่รอบตัดเชือกรายการละ 2 ทีม โดยแยกเป็น ลิเวอร์พูล และ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อยู่ในแชมเปี้ยนส์ลีก ขณะที่ 2 ตัวแทนจากกรุงลอนดอนอย่าง เชลซี และ อาร์เซนอล ก็มีลุ้นคั่วแชมป์ถ้วยยูโรปาลีกเช่นกัน

 

ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์กันดูว่า ในบรรดา 4 ทีมที่เป็นดั่งความหวังของหมู่บ้านพรีเมียร์ลีก พวกเขาจะต้องฝ่าทีมคู่แข่งจากไหนกันบ้าง และโอกาสที่ถ้วยยุโรปทั้ง 2 ใบจะมาอยู่บนเกาะอังกฤษจะเป็นไปได้หรือไม่

 

Premier League last 4

 

ลิเวอร์พูล

หนึ่งในยอดทีมแห่งเมอร์ซีย์ไซด์แสดงให้เห็นมาโดยตลอดกับฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงดุจสีเสื้อว่าพวกเขาไม่ได้มีดีแค่ในเกมลีก แต่ยังหมายถึงรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกที่ทำได้ดีไม่แพ้กัน นั่นจึงไม่ใช่ประเด็นที่น่าแปลกใจนักถ้าเราจะเห็นบ่อนรับพนันถูกกฎหมายในต่างประเทศยกให้ลิเวอร์พูลเป็น 1 ใน 2 ทีมเต็งแชมป์ยุโรปประจำฤดูกาลนี้

 

อย่างไรก็ตาม หากจะบอกว่าลิเวอร์พูลทีมนี้คือว่าที่แชมป์ยุโรปอย่างแท้จริง เพียงเพราะเทียบฟอร์มการเล่นช่วงหลังอย่างเดียวก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เพราะไม่รู้ว่าชะตาฟ้าลิขิตหรือสวรรค์กลั่นแกล้งกันแน่ เนื่องจากทีมที่จะมาเป็นอุปสรรคกับพวกเขาในรอบตัดเชือกมีนามว่า บาร์เซโลนา ทีมที่ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณทางฟุตบอลให้มากความก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ต่อแฟนบอลอยู่แล้วว่ายอดทีมแห่งคาตาลันแข็งแกร่งเพียงใด อีกทั้งล่าสุดเพิ่งจะปิดจ็อบคว้าแชมป์ลีกมาครอง พร้อมปูทางโฟกัสรายการอื่นที่เหลือต่อแบบไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น

 

ต่อมาคือเรื่องประสิทธิภาพหรือฟอร์มการเล่นนั้น ทางลิเวอร์พูลไม่มีอะไรให้ต้องน่ากังวลใจนัก เพราะช่วงนี้ ‘เครื่องจักรสีแดง’ กำลังทำงานได้ดีชนิดที่หาปุ่มปิดไม่เจอเลยทีเดียว หากนับแค่ผลงาน 5 นัดหลังในทุกรายการ จะพบว่าพวกเขาเก็บชัยมารวดทั้ง 5 เกม พร้อมกระหน่ำสกอร์ใส่คู่แข่งมากถึง 15 ประตู เฉลี่ยตกนัดละ 3 ลูก และถึงตอนนี้เกมลีกผ่านไป 36 เกม 2 สตาร์คนสำคัญอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ ซาดิโอ มาเน ช่วยกันผลิตสกอร์รวมกันแล้วมากกว่า 41 ประตู พร้อมนำเป็นดาวซัลโวของลีกอยู่ในขณะนี้ และก็น่าจะเป็นอาวุธเด็ดที่ เจอร์เกน คล็อปป์ จะใช้เพื่อต่อกรในศึกครั้งนี้

 

Premier League last 4

 

ในเรื่องของหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่งและฟอร์มอันยอดเยี่ยมของผู้เล่นเหล่านั้น สามารถยกให้เป็นอาวุธชั้นยอดของลิเวอร์พูลทันที หากต้องดวลกับทีมเบอร์หนึ่งของสเปนอย่างบาร์เซโลนาในเวลาเช่นนี้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นอาวุธที่ไม่ควรมองข้ามเลย นั่นคือเรื่องของแผนการเล่นจากมันสมองของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่ต้องเตรียมการเป็นอย่างดีสำหรับมิชชันนี้ หากยังต้องการแชมป์ยุโรปใบที่ 6 มาประดับตู้รางวัลสโมสร

 

อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงแผนการเล่น รวมไปถึงแผนการแก้เกมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ณ ตอนนี้ต้องยอมรับว่าไม่ได้เป็นรองจากใครจริงๆ แล้วยิ่งการที่ผู้เล่นชุดนี้ของลิเวอร์พูลหลายคนสามารถทำหน้าที่และตอบสนองต่อแผนการเล่นที่บัญชาโดยกุนซือวัย 51 ปีรายนี้แบบสั่งได้ดั่งใจ ซึ่งปัจจัยนี้เองที่น่าจะเป็นเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้เหล่าเดอะ ค็อปมีศักยภาพขึ้นมาลุ้นแชมป์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ดังนั้นการบุกไปเยือนบาร์เซโลนาถึงถิ่นคัมป์นูในเลกแรก หากพวกเขาสามารถคงฟอร์มการเล่นที่เปี่ยมไปด้วยการกระหายชัยชนะ รวมถึงความนิ่งของเกมรับที่ต้องมีมากพอจะหยุดแนวรุกบาร์ซาให้ได้ ผสานกับแท็กติกสไตล์เจอร์เกน คล็อปป์ ย่อมมีโอกาสจะทำให้ลิเวอร์พูลได้เข้าไปแก้ตัวในรอบชิงชนะเลิศอีกครั้งในปีนี้แน่นอน

 

Premier League last 4

 

ท็อตแนม ฮอตสเปอร์

อีกหนึ่งทีมจากพรีเมียร์ลีกที่เรียกได้ว่าทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศได้แบบหวุดหวิด หลังจากเบียดเอาชนะคู่แข่งร่วมลีกอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แม้ว่าผลการแข่งขันทั้ง 2 นัดรวมกันจะเสมอกันที่ 4-4 แต่ด้วยกฎประตูทีมเยือน จึงส่งให้ท็อตแนม ฮอตสเปอร์เข้าไปสู่รอบตัดเชือกในท้ายที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม หากจะยกเหตุผลที่ขุนพลไก่เดือยทองฝ่าด่านหินอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้เข้ามาสู่รอบนี้ได้ เพื่อบอกว่าสิ่งที่จะเผชิญหน้าต่อจากนี้จะเป็นเรื่องง่ายไปหมด นั่นคงดูจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก หากแต่คู่แข่งของพวกเขาในรอบต่อไปคือ อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมม้ามืดประจำฤดูกาลนี้ ที่สามารถโค่นอดีตแชมป์ 3 สมัยของรายการนี้ เรอัล มาดริด รวมถึงทีมที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งแดนมักกะโรนีในเวลานี้อย่าง ยูเวนตุส ไปได้แบบชนิดที่ปากกาเซียนไม่เหลือให้หักกันแล้ว

 

ส่วนในเรื่องของฟอร์มการแข่งขันในช่วงพักหลังนี้ ต้องบอกว่าลูกทีมของ เมาริซิโอ โปเชตติโน ดูจะทำผลงานแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเสียส่วนใหญ่ แม้จะมีโอกาสเก็บชัยชนะในเกมที่ควรทำได้ แต่กลับต้องมาพลาดดื้อๆ ยกตัวอย่างเกมล่าสุดที่เพิ่งจะโดนเพื่อนร่วมกรุงลอนดอน เวสต์แฮม ยูไนเต็ด บุกมาเซอร์ไพรส์ถึงบ้านหลังใหม่และแพ้ไป 0-1 โดยนอกจากจะเป็นการเสียประตูครั้งแรกในสนามใหม่แล้ว ยังได้รับความพ่ายแพ้ครั้งแรกเป็นของกำนัลในรังเหย้าใหม่อีกด้วย

 

Premier League last 4

 

การที่ต้องดวลกับทีมที่กำลังอยู่ในฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังคนหนุ่มอย่าง อาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม อีกทั้งบรรดาทุกทีมในลีกเอเรดิวิซีของเนเธอร์แลนด์ ยังพร้อมใจปรับตารางแข่งขันเพื่อให้ทีมความหวังหนึ่งเดียวของลีก  มีเวลาพักและวางแผนกับบอลยุโรปให้มากขึ้น น่าจะทำให้ยอดทีมจากลอนดอนเหนือปวดหัวพอสมควร

 

ซึ่งสิ่งที่ทำให้สาวกท็อตแนม ฮอตสเปอร์ต้องปวดหัวยิ่งกว่าก็คือ เรื่องของอาการอ่อนล้าทางร่างกายของเหล่าขุนพลไก่เดือยทอง ที่แสดงออกมาให้เห็นในเกมที่พ่ายต่อเวสต์แฮม ยูไนเต็ดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา หลังจากกรำศึกหนักทั้งในเกมลีกและเกมยุโรปมาอย่างต่อเนื่อง แถมเกมนี้ยังจะไม่มีกองหน้าตัวความหวังอย่าง แฮร์รี เคน ที่เจ็บเอ็นข้อเท้าและส่อพักยาวทั้งฤดูกาลที่เหลือ

 

ซึ่งจากปัญหาเหล่านี้น่าจะเป็นอีกครั้งที่ เมาริซิโอ โปเชตติโน อาจจะต้องวางแผนรับมือให้ดีที่สุด เพื่อหยุดทีมฟอร์มร้อนอย่างอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัมให้ได้ ซึ่งถ้าหากพวกเขาทำได้และตีตัวเข้ารอบชิงชนะเลิศ จะทำให้ท็อตแนม ฮอตสเปอร์กลายเป็นทีมที่น่ากลัวทันที เพราะถึงเวลานั้นต่อให้คู่ชิงจะเป็นบาร์เซโลนาหรือลิเวอร์พูล เชื่อเถอะว่าทีมที่หลังชนฝาและไม่มีอะไรให้เสียแบบนี้พร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์แบบที่เชลซีเคยทำได้ในรายการนี้เมื่อปี 2012 อีกครั้งแน่นอน

 

Premier League last 4

 

อาร์เซนอล

ข้ามมาที่ถ้วยรองของศึกยุโรปอย่าง ‘ยูฟ่ายูโรปาลีก’ ซึ่งเป็นรอบ 4 ทีมสุดท้ายเช่นกัน โดยมี ‘ไอ้ปืนใหญ่’ อาร์เซนอล เป็น 1 ใน 2 ทีมจากลีกอังกฤษที่หลุดเข้ามาถึงรอบนี้ โดยมีอุปสรรคของรอบรองชนะเลิศเป็น ‘บาเลนเซีย’ ทีมอันดับ 6 แห่งเวทีลาลีกาสเปน

 

สำหรับฟอร์มโดยรวมของ ‘เดอะกันเนอร์ส’ ในตอนนี้อาจจะอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก เพราะในเกมลีก 3 นัดหลังสุดพวกเขาเป็นฝ่ายปราชัยมาทั้งหมด แถมล่าสุดยังบุกไปโดนจิ้งจอกสยามเขย่าขวัญก่อนลุยเกมยุโรปอีก 3-0 ก็ไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นพวกเขาจะมีสภาพจิตใจที่สู้ดีแค่ไหน

 

แต่ทั้งนี้เรากำลังพูดถึงเกมในรายการยูโรปาลีก รายการที่เหล่าขุนพลเดอะกันเนอร์สทำผลงานได้ดีสวนทางกับเกมในลีกมาโดยตลอด จนทำให้หลายฝ่ายต่างพากันแซวว่านี่อาจจะเป็นเพราะอาถรรพ์ของ อูไน เอเมอรี เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าโค้ชชาวสเปนรายนี้เป็นหนึ่งในกุนซือที่ดูจะถูกโฉลกกับถ้วยใบนี้ค่อนข้างมาก เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยพาทีมจากบ้านเกิดอย่างเซบียาเถลิงแชมป์ยูโรปาและสร้างประวัติศาสตร์เป็นแชมป์ 3 สมัยซ้อน

 

Premier League last 4

 

อย่างไรก็ตาม หากมองข้ามเรื่องของอาถรรพ์อูไน เอเมอรี จะทำให้เห็นว่าเกมที่จะต้องดวลกับบาเลนเซียนั้น กุนซือชาวสเปนอาจจะต้องปวดหัวในระดับหนึ่งจากปัญหาตัวเลือกเรื่องนักเตะบางตำแหน่งที่มีให้ใช้งานไม่มากนัก เนื่องจากเกมนี้อาจจะไม่สามารถใช้งานผู้เล่นอย่าง เมซุต โอซิล ที่ไม่มีชื่อในเกมลีกที่ผ่านมา และ อารอน แรมซีย์ กองกลางคนสำคัญของทีมที่ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อขาจากเกมยูโรปาลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย

 

แต่อย่างไรก็ดี อาร์เซนอล ชุดนี้ยังคงมีผู้เล่นอย่าง เฮนริค มคิตาร์ยาน, ลูคัส ตอร์เรรา และ อเล็กซ์ อิโวบี ที่คอยประสานงานแดนกลางทำเกมให้กับศูนย์หน้าอย่าง อเล็กซองเดร ลากาเซตต์ และปิแอร์ เอเมอริก โอบาเมยอง ได้ผลิตสกอร์ให้ทีม และจุดตัดที่สำคัญของเดอะกันเนอร์สก็คือ ประเด็นการเค้นฟอร์มเก่งแบบถูกที่ถูกเวลา ยิ่งถ้าเกิดขึ้นแบบที่ทำได้ในเกมที่เจอกับนาโปลีทั้ง 2 เกม ซึ่งนาโปลีดูจะเป็นงานที่ยากกว่าบาเลนเซียด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ผ่านมาได้แบบไม่ยากเย็นเสียด้วย แล้วยิ่งความหวังในการจบอันดับที่ 4 ของอาร์เซนอลเริ่มเลือนรางเต็มที ไม่แน่ใจว่าภาวะต้องการพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีกสำหรับฤดูกาลหน้าอาจจะเป็นแรงผลักดันให้เดอะกันเนอร์สสามารถทะลุเข้ารอบชิงพร้อมกับได้ชูถ้วยแชมป์ยูโรปาลีกในแบบของอูไน เอเมอรีสไตล์ที่เราคุ้นเคยก็เป็นได้

 

Premier League last 4

 

เชลซี

สำหรับโปรแกรมรอบ 4 ทีมสุดท้ายของทัพสิงโตน้ำเงินคราม จะมีคิวดวลกับ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ทีมอันดับ 4 ของบุนเดสลีกา เยอรมนี ทีมที่ดูเผินๆ อาจจะดูไร้ซึ่งพิษภัย แต่หากได้ติดตามผลงานของทัพอินทรีแดงดำในรายการยูโรปาลีกฤดูกาลนี้จะทำให้เห็นว่า ทีมอย่าง อินเตอร์ มิลาน และ เบนฟิกา ที่ชื่อชั้นเหนือกว่าเป็นอย่างมากต่างต้องพากันกอดคอตกรอบด้วยน้ำมือของไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตมาแล้วทั้งนั้น

 

ขณะที่เชลซีกับผลงานในยูโรปาลีกต้องบอกว่าไม่มีอะไรผิดคาดเท่าไรนักกับทีมชื่อชั้นระดับนี้ อีกทั้งคู่แข่งในรอบคัดเลือกตลอดจนรอบน็อกเอาต์พวกเขาก็ยังไม่เจองานที่ยากเกินกำลังมากนัก ซึ่งการโคจรมาพบกับทีมอย่างไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเกมที่ทำให้สิงห์บลูได้เหนื่อยขึ้นเยอะกว่าการดวลคู่แข่งในทุกรอบก่อนหน้านี้

 

ซึ่งฟอร์มโดยรวมของสิงห์ไฮโซในทุกรายการก่อนหน้านี้ต้องบอกว่าไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่เกินไป อีกทั้งในเกมลีกนัดล่าสุดก็สามารถบุกไปแบ่งแต้มกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ยิ่งทำให้โอกาสที่จะทำให้พวกเขามีลุ้นจบอันดับที่ 4 ในฤดูกาลนี้มีสูงขึ้น แม้จะยังต้องลุ้นต่ออีก 2 เกมก็ตาม แต่ก็น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะให้ เมาริซิโอ ซาร์รี ได้เตรียมแผนและเตรียมทีมสำหรับรายการยูโรปาลีกนี้มากขึ้น

 

Premier League last 4

 

อย่างไรก็ตาม กลับมามองที่เกมยูโรปาลีก อีกทั้งการมีนักเตะอย่าง เอเดน อาซาร์, เอ็นโกโล ก็องเต และวิลเลียน รวมถึงสไตล์การเล่นที่หวือหวาและองค์ประกอบต่างๆ ดูเหมือนว่าเกมที่พวกเขาต้องตัดเชือกกับไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตจะไม่ใช่งานยากมากนัก

 

เว้นเสียแต่ว่า…สิ่งที่พวกเขามักจะประสบพบเจออยู่เสมอในฤดูกาลนี้คือการเล่นที่ผิดพลาดมีโผล่ออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ และเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขาทำแต้มหล่นในเกมลีกเป็นว่าเล่น หรือหากเปรียบเทียบแบบเห็นภาพคือเกมรอบ 8 ทีมเลกที่ 2 กับทีมสลาเวีย ปราก โดยครึ่งแรกจบที่ 4-1 แต่หลังจากเล่นครึ่งหลัง ผลมาจบที่ 4-3 ซึ่งเป็นการลงเล่นในครึ่งหลังที่เชลซีเหมือนเครื่องช็อตไปดื้อๆ

 

และจากช่องโหว่ที่พวกเขาไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีไว้ได้ตลอด 90 นาที ถ้าพวกเขายังไม่สามารถอุดรอยรั่วนี้ได้ บางทีเกมกับไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ตอาจจะทำให้พวกเขาต้องเหนื่อยแบบไม่จำเป็นก็ได้ แต่ถึงตอนนี้เชลซีที่มีขุมกำลังนักเตะที่มีทักษะเฉพาะตัวสูงกว่าและฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นกว่า ก็ยังถูกยกให้เป็นอีกทีมจากอังกฤษที่มีลุ้นเข้ารอบชิงประจำถ้วยยูโรมากที่สุดแบบไม่น่าแปลกใจ ซึ่งอาจทำให้เราได้เห็นพวกเขากลับมาชูถ้วยใบนี้อีกครั้ง หลังจากเคยทำได้มาแล้วเมื่อฤดูกาล 2012/13

 

ภาพ: Getty images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising