×

ประภัตร ยืนยันไม่นิ่งเฉยต่อการแก้ปัญหาโรค ASF และหมูแพง มอบกรมปศุสัตว์คุมเข้มเชื้อโรค ย้ำตรวจเจอให้ทำลายเชื้อตามหลักทันที

โดย THE STANDARD TEAM
13.01.2022
  • LOADING...
ประภัตร โพธสุธน

วันนี้ (13 มกราคม) ประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ราคาเนื้อสุกรที่มีราคาแพง ตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงพบการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) โดยระบุว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีมาตรการต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด โดยเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการสกัดกั้นและควบคุมโรคดังกล่าว คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบกลาง จำนวน 574 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามหลักและขั้นตอนตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ให้กับผู้เลี้ยงสุกรรายเล็กและรายย่อย และได้กำหนดมาตรการการควบคุมอย่างเข้มข้น โดยได้ส่งชุดเฉพาะกิจลงตรวจสอบสภาวะโรคในพื้นที่เสี่ยง สุ่มตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสุกรหนาแน่น 

 

นอกจากนี้ ในส่วนของการแก้ไขเนื้อสุกรมีราคาแพง ซึ่งจากข้อมูลสุกรรายสัปดาห์ พบว่าในปี 2564 มีลูกสุกรเข้าคอกเลี้ยงเฉลี่ยราว 350,000 ตัว ปัจจุบัน (ข้อมูลสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2565) มีจำนวนลูกสุกรเข้าเลี้ยงยังคงมีตัวเลขใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมปศุสัตว์ ยังได้เตรียมมาตรการที่จะเพิ่มแม่สุกรให้กับหน่วยงานของกรมปศุสัตว์ ตลอดจนฟาร์มเครือข่ายสัตว์พันธุ์ดีของกรมปศุสัตว์ รวมทั้งในสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่มีการเรียนการสอนด้านสัตวบาล เพื่อผลิตลูกสุกรเข้าสู่ระบบคู่ขนานกันไปด้วย จึงเชื่อมั่นว่าจากมาตรการต่างๆ ที่ได้ดำเนินการทั้งมาตรการเร่งด่วน มาตรการระยะสั้น และระยะยาวนั้น จะสามารถเพิ่มการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในการบริโภคได้แน่นอน 

 

อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่ทราบว่ามีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่ต้องการกลับมาเลี้ยงสุกรรอบใหม่ ซึ่งกรมปศุสัตว์จะต้องมีการสแกนพื้นที่เพื่อตรวจสอบเบื้องต้นว่ามีความปลอดภัย หรือมีความเสี่ยงต่อพี่น้องเกษตรกรอยู่หรือไม่ จากนั้นจะมีการคัดกรองตัวเกษตรกร พร้อมกับตรวจสอบสภาพความพร้อมและความเหมาะสมของฟาร์มในการยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้มีความปลอดภัย ด้านการควบคุมโรคที่สูงขึ้น เช่น GFM หรือ GAP กรมปศุสัตว์จึงจะสามารถอนุญาตให้เกษตรกรกลับเข้าสู่อาชีพในครั้งต่อไปได้ 

 

ประภัตรกล่าวต่อไปว่า จากจำนวนผู้เลี้ยงสุกรรายเล็กและรายย่อยทั้งประเทศ มีรวมกันถึงกว่า 185,000 ราย โดยในภาคอีสานมีผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยถึงประมาณ 77,000 ราย อีกทั้งยังมีค่าเฉลี่ยของอัตราการบริโภคเนื้อสุกรของคนไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 20-22 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีแนวทางที่จะส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรให้กับเกษตรที่มีความสนใจ โดยร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ดำเนินโครงการ ‘สานฝันสร้างอาชีพ และยกระดับรายได้เกษตรกร’ มีวัตถุประสงค์ในการปล่อยสินเชื่อสำหรับใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตร หรืออาชีพนอกภาคเกษตร

 

หรือการลงทุนค้าขาย เพื่อเสริมรายได้ในครัวเรือน เน้นอาชีพที่มีตลาดรองรับชัดเจน มีการประกันราคารับซื้อผลผลิต สามารถสร้างรายได้ในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน มีผลตอบแทนเบื้องต้นเพียงพอต่อการดำรงชีพ สามารถต่อยอดเป็นอาชีพที่มั่นคงต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งโครงการดังกล่าว ไม่ได้มีเพียงการส่งเสริมการเลี้ยงสุกรเท่านั้น แต่มีเมนูทางเลือกให้กับเกษตรกรในด้านต่างๆ ทั้งเมนูอาชีพด้านปศุสัตว์ โดยสนับสนุนให้เกษตรกรเลี้ยงโคขุน สุกรขุน ไก่ไข่ จิ้งหรีด เป็ดไข่ และแพะขุน เมนูอาชีพด้านพืช สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกฟักทอง ฟักเขียว กระชายขาว และข้าวโพด และเมนูอาชีพด้านประมง สนับสนุนให้มีการเลี้ยงปลาตะเพียน ปลาทับทิม ปลาดุก และกุ้ง 

 

ทั้งนี้ หากเกษตรที่สนใจ สามารถยื่นความประสงค์ขอกู้ตามโครงการได้ 2 ช่องทาง ได้แก่ 

 

  1. ยื่นขอกู้เงินที่ธนาคาร ธ.ก.ส. สาขาที่ตนเองมีภูมิลำเนาหรือที่ตั้งของโครงการ (Walk- in) 
  2. ให้ผู้ขอกู้ลงทะเบียนยื่นขอสินเชื่อผ่านช่องทาง LINE Official: BAAC Family และนัดหมายผู้ขอกู้ผ่านระบบนัดหมาย โดยวงเงินกู้สูงสุดรายละไม่เกิน 100,000 บาท แต่ต้องไม่เกินค่าใช้จ่ายและหรือค่าลงทุนจริงของลูกค้าแต่ละราย 

 

“รัฐบาลมีความห่วงใยต่อพี่น้องเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ซึ่งเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้ในการควบคุมป้องกันโรคในระยะที่ผ่านมานั้น หลักๆ แล้วเป็นค่าชดเชยเพื่อทำลายสุกรแทบทั้งสิ้น ซึ่งในขั้นตอนของการดำเนินการ กรมปศุสัตว์จะมีการตั้งคณะกรรมการในระดับพื้นที่เพื่อประเมินค่าความเสียหาย และค่าชดเชยสำหรับเกษตรกรทุกราย สำหรับกรณีที่ผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยบางราย ได้มีการทำลายสุกรไปแล้ว โดยที่เจ้าหน้าที่ของกรมปศุสัตว์ไม่ได้สั่งนั้น ซึ่งจะทำให้ไม่เข้าหลักเกณฑ์การได้รับเงินชดเชยดังกล่าว จะขอรับเรื่องนี้ไปหารือกับผู้เกี่ยวข้องว่าจะสามารถช่วยเหลืออย่างไรได้บ้าง” ประภัตรกล่าว

 

ทั้งนี้ ประภัตรยืนยันว่า กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้นิ่งเฉยเรื่องการระบาดของโรค ASF นี้ แต่การออกมาพูดนั้นจะต้องได้รับการยืนยันจากผู้ที่เกี่ยวข้อง หลังจากนี้ เมื่อมีการตรวจยืนยันว่าพบเชื้อที่ฟาร์มไหน กรมปศุสัตว์จะมีมาตรการในการควบคุมโรคอย่างเข้มข้น รวมถึงการทำลายเชื้อตามหลักวิชาการ และจะต้องมีการพักคอกแล้วหยุดเลี้ยงในพื้นที่ดังกล่าวไปจนกว่าจะมีการตรวจสอบหรือประเมินความเสี่ยงแล้วว่ามีความปลอดภัย จึงจะสามารถลงเลี้ยงใหม่ได้อีกครั้ง 

 

อย่างไรก็ตาม ตนในฐานะที่กำกับดูแลกรมปศุสัตว์ แม้ว่าจะไม่ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ (Pig Board) และคณะกรรมการพัฒนาไข่ไก่และผลิตภัณฑ์ (Egg Board) ก็ตาม แต่จะช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลการขับเคลื่อนให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วและทันท่วงที พร้อมทั้งส่งเสริมอาชีพคู่ขนานอื่นให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising