วันนี้ (29 มีนาคม) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วย ศิริพงษ์ พงศ์พันธุ์สุข อดีตอัยการศาลสูงภาค 1 ในฐานะหัวหน้าชุดทนายความของ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ยื่นฟ้อง ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม
อัจฉริยะกล่าวว่า ได้รับหนังสือมอบอำนาจจาก ผบ.ตร. ให้จัดหาทีมทนายความและแถลงข่าวเรื่องส่วนตัว โดยมีการแต่งตั้งศิริพงษ์เป็นหัวหน้าชุดทีมทนายฟ้องร้องฐานหมิ่นประมาทกับทนายตั้ม เบื้องต้นศาลรับไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 10 มิถุนายน เวลา 13.30 น.โดย พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ จะเดินทางมาไต่สวนมูลฟ้องนัดแรกด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ระบุกับตนว่า การที่ทนายตั้มออกมาพูดเรื่องดังกล่าวถือเป็นประโยชน์ที่จะทำให้ได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงกันในชั้นศาล ซึ่งถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีความผิดจริงก็ยินดีจะรับผิดชอบตามกระบวนการยุติธรรม นอกจากนี้ยังยินดีที่จะเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริงตามกระบวนการ หลังจากทนายตั้มยื่นเรื่องให้ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบตัวเอง และยินดีจะให้ข้อมูลกับชุดตรวจสอบของนายกรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วย
อัจฉริยะกล่าวต่อว่า การฟ้องร้องครั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การฟ้องร้องเพื่อแก้เกี่ยว เพื่อเข้าสู่การพูดคุยนอกรอบ ยืนยันว่าจะไม่มีการต่อรองไกล่เกลี่ย เพราะ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ต้องการพิสูจน์ความจริง นอกจากฟ้องร้องคดีอาญาแล้ว ยังฟ้องร้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาทด้วย
ส่วนหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินที่ทนายตั้มนำมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ ตนและทีมทนายความตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ มีการใช้ตำรวจ เจ้าหน้าที่เขต และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ ไปดึงข้อมูลส่วนตัวทะเบียนราษฎร์ของ ผบ.ตร. และครอบครัวมาใช้
โดยพบว่ามีการเข้าถึงข้อมูลของ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ 20 ครั้ง ส่วนภรรยามี 40 ครั้ง นอกจากนี้ยังพบว่าขบวนการดังกล่าวเข้าไปในระบบเพื่อไปดูข้อมูลของ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติท่านอื่นด้วย ตั้งแต่ช่วงปี 2566-2567 จึงเชื่อว่าเรื่องนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐทำงานกันเป็นขบวนการเพื่อให้ได้ข้อมูลเหล่านี้มา
ด้านศิริพงษ์กล่าวว่า จากหลักฐานที่ทนายตั้มนำมาแถลง ไม่มีข้อมูลอะไรเลย เป็นเพียงการสร้างหลักฐานเท็จ หากมีข้อมูลจริงก็ควรไปแจ้งความดำเนินคดีกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา ขณะเดียวกันหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริงก็ยอมรับ
เมื่อถามว่า การได้มาของข้อมูล หากได้มาโดยมิชอบจะถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่ ศิริพงษ์กล่าวว่า ต้องพิสูจน์ก่อน หากพบว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยและให้ตรวจสอบเป็นข้อมูลโดยมิชอบตามหลักทางกฎหมายแล้ว ก็ไม่สามารถใช้ในการดำเนินคดีใดๆ ได้ ต้องไปขอหลักฐานใหม่จากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างถูกต้องก่อน
ศิริพงษ์ระบุว่า หลังจากที่พูดคุยกับ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ ลูกความไม่มีความกังวล ยืนยันว่าข้อมูลที่ทนายตั้มได้มาเป็นข้อมูลเท็จ จึงตัดสินใจฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะมั่นใจในพยานหลักฐานว่าจะสามารถต่อสู้คดีได้
