×

ผยง ศรีวณิช ชี้โจทย์ใหญ่แบงก์ไทย บริหารหนี้ 2 ล้านล้านบาท จากมรสุมลูกใหม่ ป้องหน้าผา NPL

20.07.2022
  • LOADING...
ผยง ศรีวณิช

ผยง ศรีวณิช เผยสมาคมธนาคารไทยตั้งเป้าประคองลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงถูกซ้ำเติมจากสถานการณ์เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยขาขึ้น ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และปัญหาหนี้ครัวเรือน เน้นให้ความช่วยเหลือยาวและต่อเนื่อง แต่ไม่ฝืนกลไกดอกเบี้ย หวั่นสร้างความบอบช้ำให้ระบบ

 

ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า สมาคมธนาคารไทยมีความตระหนักถึงสถานการณ์เงินเฟ้อ ทิศทางดอกเบี้ยที่กำลังปรับสู่ขาขึ้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย ว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเปราะบางในระบบ ทำให้มีการหารือกันภายในสมาคมว่า การนำเครื่องมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้จะต้องมีความยาวและต่อเนื่องยิ่งขึ้น

 

“เมื่อพ้นจากโควิดเราก็เจอวิกฤตใหม่ทันที ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ต่อเนื่อง ธนาคารเองก็ตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่จะมีต่อลูกหนี้ และเข้าใจว่าช่วงนี้ยังเป็นช่วงที่เรายังต้องประคองลูกหนี้ดีๆ บางคนเราประคองมาตั้งแต่โควิด พอเขาเริ่มฟื้นได้ก็มาเจอพายุอีกระลอก ดังนั้นการประคองของเราจะต้องต่อเนื่องและยาวขึ้น” ผยงระบุ

 

ผยงกล่าวว่า สถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้สถาบันการเงินทั้งประเทศ ไม่รวมสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนใหญ่อยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเรียกว่าเป็นหน้าผาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) โจทย์สำคัญของธนาคารในเวลานี้คือ จะทำอย่างไรให้ลูกหนี้กลุ่มนี้ถูกซ้ำเติมจากพายุลูกใหม่ให้น้อยที่สุด เพื่อให้หนี้เสียเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือ Soft Landing  

 

“ตัวเลขสินเชื่อจับตาเป็นพิเศษ หรือ Stage 2 ของทั้งระบบยังเยอะอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง สมาคมก็กำลังดูอยู่ว่าต้องทำอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า เพราะสภาวะตอนนี้เป็นช่วงที่แบงก์ชาติจะถอนคันเร่ง แปลว่าดอกเบี้ยจะขึ้น จะมีผลต่อกลุ่มลูกหนี้ที่เปราะบาง เราคงต้องเข้าไปช่วยปรับโครงสร้างหนี้ของเขาให้เหมาะกับรายได้และการผ่อนชำระ” ผยงกล่าว

 

ประธานสมาคมธนาคารไทยยังกล่าวถึงกรณีที่มีข้อเรียกร้องให้ธนาคารชะลอการขึ้นดอกเบี้ยตามดอกเบี้ยนโยบายออกไป เพื่อลดผลกระทบต่อลูกหนี้กลุ่มเปราะบางว่า เรื่องนี้ถือเป็นต้นทุนของทั้งระบบ เพราะเมื่อกลไกตลาดทำงาน หากไปฝืนกลไกก็จะสร้างความบอบช้ำให้กับระบบบางส่วน โดยสิ่งที่ธนาคารสามารถทำได้คือ ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไรที่จะประคองไม่ให้เกิดความบอบช้ำในระบบ 

 

“เราคงฝืนกลไกตลาดไม่ได้ การที่ฐานของทั้งระบบขึ้นแล้ว แต่กลไกบางอย่างจะไม่ปรับตัวมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่เราจะประคองให้มันช้า เร็ว หรือเลือกจังหวะให้กระทบน้อยที่สุดอย่างไร เรื่องเงินนำส่ง FIDF ถือเป็นต้นทุนของระบบ เมื่อแบงก์ชาติถอนยาแรงมันก็ต้องกลับสู่ภาวะปกติ” ผยงกล่าว

 

ผยงยืนยันว่า ขณะนี้ระบบธนาคารไทยยังมีกันชนที่แข็งแกร่งและเพียงพอรองรับวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ หากพิจารณาจากอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Coverage Ratio) และอัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤต (Liquidity Coverage Ratio: LCR) ขณะที่สภาพคล่องของระบบในภาพรวมก็ไม่น่ากังวล โจทย์สำคัญของธนาคารจึงเป็นการประคองลูกหนี้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านให้ราบรื่น

 

เมื่อถามถึงภาพรวมและแผนบริหารจัดการหนี้เสียของธนาคารกรุงไทยในปีนี้ ผยงระบุว่า ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน โดยธนาคารยังเฝ้าระมัดระวัง และเน้นการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แบบเจาะจง หรือ Selective ไม่เหวี่ยงแห พร้อมเปิดเผยว่าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนบริหารสินทรัพย์ (JV AMC) ก็อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ธนาคารจะพิจารณาใช้เป็นเครื่องมือช่วยประคองลูกหนี้ แต่ก็ยังมีเวลาให้ตัดสินใจได้ถึงสิ้นปีหน้า

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising