“เราไม่ต้องการสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามเย็น หรือสงครามร้อน หรือแม้แต่สงครามไฮบริด เราก็ไม่ต้องการ
“แต่หากคุณโจมตีเรา คุณจะเห็นใบหน้าที่พร้อมเผชิญหน้า ไม่ใช่แผ่นหลังที่พร้อมวิ่งหนี”
นี่คือแถลงการณ์ของ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ที่ออกมาเปิดหน้าสู้กับวลาดิเมียร์ ปูติน หลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน
พลังการสื่อสารจากเขา ทำให้ทั้งโลกเห็นใจยูเครน ความช่วยเหลือหลั่งไหล และประชาชนมีกำลังใจลุกขึ้นสู้
อะไรคือ ‘บทเรียน’ ที่ผู้นำสามารถเรียนรู้ได้จาก โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี
โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี คือใคร
เริ่มแรกเซเลนสกีเป็นดาราตลกเสียดสีการเมือง เป็นที่รู้จักในบทบาท ‘ประธานาธิบดี’ ในซีรีส์ Servant of the People หรือ ผู้รับใช้ของประชาชน
แม้เขาจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่ทันทีที่เขาลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี เขาก็ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ด้วยความเป็นนักการเมืองขั้วใหม่ ต่างจากภาพลักษณ์นักการเมืองแบบเดิมๆ พร้อมชูนโยบายที่ประชาชนอยากเห็น นั่นคือการยืนยันว่าจะรื้อฟื้นการเจรจากับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนทางภาคตะวันออกที่หนุนหลังโดยรัสเซีย และลดปัญหาความขัดแย้งและการฉ้อโกงที่สะสมมายาวนาน
ในปี 2019 เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นกว่า 73% ทิ้งห่างคู่แข่งอย่างเปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดีที่กำลังจะหมดวาระอย่างขาดลอย
แต่แล้วเส้นทางระหว่างทางดำรงตำแหน่งก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด ความนิยมของเขาตกลงมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่รักษาสัญญาไว้ ทำให้ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ตื้นเขินและไม่ได้มีความสามารถรอบด้านเท่าที่ควรจะเป็น
จากความนิยมที่ลดลง ทำให้หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า การที่เซเลนสกีเร่งผลักดันให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปและ NATO ส่วนหนึ่งเพื่อเรียกฐานคะแนนเสียงให้กลับคืนมา จนเป็นที่มาของความโกรธเกรี้ยวของปูตินและสงครามในวันนี้
บทเรียนผู้นำจาก โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี
1. ผู้นำที่ใช้การสื่อสารเป็น ‘อาวุธ’
หัวใจสำคัญที่ผู้คนมักมองหาจากผู้นำในยามวิกฤต คือทักษะการสื่อสารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และทำให้ผู้ตามรับรู้ถึง ‘ความเชื่อ’ ที่ทุกคนกำลังมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน
การสื่อสารของเซเลนสกีทำให้ชาวยูเครนมองเห็นความ Humanity และ Empathy ที่เขามีต่อประชาชน โดยเฉพาะการเลือกแถลงการณ์ผ่านกล้องเซลฟีในวันที่รัสเซียบุกโจมตีกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน
วิธีการสื่อสารของเขาทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนเขากำลังพูดคุยแบบเข้าถึงรายบุคคล (Individually) ไม่ใช่การแถลงการณ์ต่อหน้าสื่อทั่วไปที่ดูเข้าถึงยาก โดยเขาเลือกที่จะสื่อสารแบบกระชับ ทรงพลัง จนกลายเป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดียไปทั่วโลก
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ยืนยันได้ว่าเซเลนสกีมีทักษะด้านการสื่อสารที่ดี เพราะไม่นานมานี้เขาได้กล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภายุโรปว่าด้วยประโยคที่ว่า ‘พิสูจน์ว่าคุณอยู่กับเรา’
“เรากำลังต่อสู้เพื่อเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมของยุโรป จงพิสูจน์ว่าคุณอยู่กับเรา จงพิสูจน์ว่าคุณจะไม่ปล่อยเราไป จงพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนยุโรป จริงๆ แล้วชีวิตจะชนะความตาย และแสงสว่างจะชนะความมืด” เขากล่าว พร้อมยืนบอกว่าสหภาพยุโรปจะแข็งแกร่งขึ้นหากมียูเครน
รองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป มาโรช เซฟโควิช กล่าวเพื่อตอบคำร้องขอของเซเลนสกี โดยกล่าวว่าสหภาพยุโรปจะจัดหาอาวุธให้กับยูเครน นอกเหนือจากการคว่ำบาตรรัสเซียอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
อีกเคสตัวอย่างการสื่อสารที่น่าสนใจจากฝั่งยูเครน มิคาอิล เฟโดรอฟ รมว.กระทรวงดิจิทัลยูเครน เขาใช้ช่องทางทวิตเตอร์ไปถึงอีลอน มัสก์ว่า “ขณะที่คุณพยายามตั้งรกรากบนดาวอังคาร รัสเซียพยายามยึดครองยูเครน! ขณะที่จรวดของคุณลงจอดจากอวกาศได้สำเร็จ จรวดรัสเซียโจมตีพลเรือนยูเครน! เราขอให้คุณจัดหาสถานี Starlink ให้ยูเครน”
แน่นอน ตอนนี้อีลอน มัสก์ส่งดาวเทียม Starlink เพื่อช่วยสนับสนุนระบบอินเทอร์เน็ตและการสื่อสารของยูเครนให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติอีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย
2. อยู่ข้างประชาชนและทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
ในวันที่กองทักรัสเซียบุกโจมตีกรุงเคียฟ เมืองหลวงแห่งยูเครน มีข่าวลือหนาหูว่าเซเลนสกีได้หลบหนีไปยังสถานที่นอกพื้นที่โจมตี ทันทีที่เกิดข่าวนี้ วันต่อมาเขาจึงออกมาแถลงการณ์พร้อมหัวหน้าสำนักงานประธานาธิบดี เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขายังอยู่ข้างประชาชน พร้อมสื่อสารว่า “อย่าเชื่อข่าวปลอม ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องประเทศของเรา เพราะอาวุธของเราคือความจริง และความคิดคือที่นี่ คือผืนแผ่นดินของเรา ประเทศของเรา ลูกหลานของเรา พวกเราจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกคุณ ยูเครนจงเจริญ”
อีกเรื่องที่น่าสนใจ สถานทูตยูเครนเปิดเผยว่า สหรัฐฯ เปิดทางให้ชาวยูเครนลี้ภัย แต่สำหรับผู้นำอย่างเซเลนสกี แม้จะมีคนหยิบยื่นการหลีกหนีให้ในภาวะสงคราม แต่สิ่งที่เขาตอบกลับคือ “การสู้รบกำลังเกิดขึ้นที่นี่ ผมต้องการกระสุน ไม่ใช่พาหนะหลบหนี” แสดงให้เห็นว่าเขาจะอยู่กับประชาชนและสู้รบไปพร้อมกัน
3. ทักษะการควบคุมตนเองในภาวะกดดัน
จากการสื่อสารทั้งหมดที่เล่ามาจะเห็นได้ชัดว่าเซเลนสกีมีทักษะการจัดการตนเองที่ดีในภาวะกดดัน รวมถึงยังตัดสินใจได้อย่างมีสติอีกด้วย
4. ผู้นำจะเป็นใครก็ได้ที่พร้อมลุกขึ้นมานำในเวลายากลำบาก
เมื่อไรก็ตามที่เกิดวิกฤต เมื่อนั้นผู้นำจะเกิดขึ้น
เซเลนสกีเริ่มจากการเป็นดาราตลกที่เข้ามารับบทบาทประธานาธิบดีในเวลาที่บ้านเมืองต้องการผู้นำที่แตกต่าง แม้ช่วงแรกเขาอาจจะทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพมากนัก แต่จากวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยูเครน ทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็น ‘Man of The People’ หรือชายผู้เข้าใจประชาชนของตนเอง พร้อมส่งแรงบันดาลใจในเวลามืดมิดให้ยังพอมี ‘แสงสว่าง’ ขึ้นอีกครั้ง