มันนี่โค้ช สรุปบทเรียนที่ตกผลึกเป็นความรู้ทางการเงิน จากตลอดระยะเวลา 10 ปี ของคนที่เคยเป็นหนี้หลายสิบล้าน แต่วันนี้มีชีวิตทางด้านการเงินที่ดีขึ้น เหมาะสำหรับคนที่อยากสร้างเนื้อสร้างตัว แก้หนี้ ลงทุน หรือปรับใช้ให้เหมาะสมได้ตามสถานะทางการเงินของคุณเอง
วิธีการปลดหนี้ที่ดีที่สุด คือการสร้างทรัพย์สิน
ตั้งแต่เรียนจบ โค้ชใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการมุ่งมั่นปลดหนี้ พยายามทำตามตำราทุกอย่างที่ว่า ถ้าอยากปลดหนี้ ต้องลดรายจ่าย แต่ในชีวิตจริงทำได้ยาก โดยเฉพาะกับคนที่มีภาระหนี้เกินตัวไปมาก
โค้ชมีหนี้ของครอบครัวเยอะ การลดรายจ่ายไม่ช่วยอะไร จึงพยายามเพิ่มรายได้ ตอนนั้นเรามีเวลา เลิกงานตอนเย็น หรือวันเสาร์-อาทิตย์ ก็อุทิศกับการหาเงินทั้งหมด ทั้งสอนพิเศษ ขายประกัน เอาสินค้านำเข้ามาขาย เป็นที่ปรึกษาโรงงาน ทำให้มีเงินพอที่จะหมุนและเลี้ยงหนี้ของเราไปได้
สิ่งที่พบในตอนนั้นก็คือ เราทำงานหนักทุกเดือน เราได้เงินมาพอที่จะจ่ายหนี้ได้ แต่พอจบเดือนก็ต้องทำงานหางานใหม่ๆ เพื่อที่จะได้เงินเข้ามาแก้หนี้ในเดือนถัดไป ตอนนั้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า มีวิธีอะไรไหมที่ทำงานไม่ต้องบ่อยมาก หรือทำน้อยครั้งลง แต่ตัวงานยังมีประโยชน์หรือมีเงินเพิ่มเข้ามาทุกเดือน สุดท้ายก็พบความจริงว่า ขณะที่ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เราควรสร้างทรัพย์สินประกอบไปด้วย
หลายคนอาจสงสัยว่า คนที่เป็นหนี้เยอะ แค่รายได้เลี้ยงตัวก็ยากแล้ว จะสร้างทรัพย์สินได้อย่างไร ยกตัวอย่างของโค้ชเอง ตอนที่เป็นหนี้ มีบ้านอยู่ 2 หลังตั้งติดกัน หลังหนึ่งเรากู้มาให้ครอบครัวอยู่อาศัยร่วมกัน ทุกเดือนก็ต้องผ่อนส่งบ้านเป็นประจำ ส่วนอีกหลัง มาจากพี่ข้างบ้านถามว่าจะซื้อบ้านของเขาไหม เขาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไร แต่คุณพ่อแนะนำว่า ถ้าซื้อเอามาปล่อยเช่าน่าจะได้ค่าเช่าเยอะพอสมควร สุดท้ายก็ซื้อบ้านจากพี่คนนี้ และปล่อยเช่าได้เงินมาเดือนละประมาณ 22,000 บาท ตอนนั้นใช้แค่สลิปเงินเดือนไปกู้ธนาคาร เราผ่อนบ้านต่อเดือนประมาณ 9,500 บาท ทำให้มีส่วนต่างประจำทุกเดือนหมื่นกว่าบาท แต่ละเดือนที่ผ่านไป เราจะเห็นบ้าน 2 หลังนี้ทำงานต่างกัน หลังหนึ่งต้องหาเงินมาจ่ายเพิ่มทุกเดือน แต่อีกหลังมันมีค่าเช่าที่ไปเลี้ยงเงินผ่อนได้ และมีเงินส่วนเพิ่มเอามาให้เราใช้จ่ายด้วย
ตัวอย่างแบบนี้คือการเปรียบเทียบ 2 สิ่งที่อยู่ติดกัน บ้านที่โค้ชอยู่อาศัย ถ้ามองในเชิงการเงินก็คือหนี้สิน ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋าทุกเดือน ขณะที่อีกหลังเป็นบ้านเช่า เป็นทรัพย์สิน ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าเรา ที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่จะเป็นทรัพย์สิน เราทำงานเพียงหนึ่งครั้ง แล้วใช้ผลการทำงานนั้น สร้างรายได้ให้กับเราไปตลอด มันจะช่วยผ่อนแรงในแต่ละเดือนให้เหนื่อยน้อยลงได้
ความสามารถด้านการถ่ายภาพ ก็สามารถสร้างเป็นทรัพย์สินได้ ถ้าเรารับงานถ่ายภาพรับปริญญา งานแต่งงาน ก็จะได้งานเป็นครั้งๆ ไป เพราะภาพงานรับปริญญาหรืองานแต่งงานมีเจ้าของงาน ซึ่งเอาไปใช้ประโยชน์ต่อไม่ได้มากนัก แต่ถ้าเราถ่ายภาพวิวสวยๆ แล้วเอาไปขายผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ ก็ถือเป็นการสร้างรายได้จากงานที่ทำเพียงครั้งเดียว ได้เป็นค่าลิขสิทธิ์ที่ถือเป็นการสร้างทรัพย์สินเหมือนกัน หรือใครที่เก่งเรื่องการสอนพิเศษ แต่ก่อนเราสอนหนึ่งครั้งก็ได้รับค่าจ้างหนึ่งครั้ง แต่ถ้าเราสอนแล้วอัดคลิปไว้ ก็สามารถหารายได้เพิ่ม อาจขายเป็นคอร์สออนไลน์ หรืออัปลงยูทูบได้สปอนเซอร์ได้ค่าโฆษณา ก็เป็นการสร้างทรัพย์สินเช่นกัน
หัวใจคือว่า เวลาที่เรามีหนี้สิน ทรัพย์สินจะสร้างเงินสดหรือสร้างรายได้ให้เราไปใช้จ่ายหนี้ได้ และในวันที่หนี้หมด ทรัพย์สินก็จะสร้างเงินสดหรือรายได้มาให้เราจัดการกับรายจ่าย ถึงวันนั้นเราก็จะผ่อนแรงทางการเงินได้มากขึ้น
กระแสเงินสดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลกการเงิน
ถ้าเราทำงานประจำ เงินที่เหลือทุกเดือนนั่นแหละคือ กระแสเงินสด คนที่มีเงินเหลือก็สามารถต่อยอดไปยังสิ่งอื่นได้ สังเกตดูถ้าเราชวนใครสักคนที่ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย ชวนเขาทำประกัน เรียนเรื่องลงทุน เขาก็จะไม่สนใจ หรือถ้าเราทำธุรกิจ ทุกเดือนได้เงินมา ตัดหักค่าใช้จ่ายต้นทุนต่างๆ แล้วมีเงินเหลือ นั่นแหละคือกระแสเงินสด ชีวิตคนเราจะต้องมองเสมอว่า จบเดือนเราต้องมีกระแสเงินสดคงเหลือ ทำงานประจำก็คือเงินออม ทำธุรกิจคือกำไร ถ้าลงทุนคือเงินปันผล หรือดอกเบี้ยต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น คนหนึ่งทำงานประจำพร้อมรับงานฟรีแลนซ์ และมีร้านค้าเป็นของตัวเอง งานประจำก็มีเงินเหลือมากน้อยไม่ว่ากัน ฟรีแลนซ์ทุกจ๊อบที่ทำก็มีกำไรเอาไปบริหารจัดการต่อได้ ร้านค้าที่ทำก็มีกำไรเล็กน้อย ถ้าทุกหน่วยของการสร้างรายได้ของเรามีเงินคงเหลือ หรือมีกระแสเงินสด รับประกันว่าชีวิตทางด้านการเงินของเราจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ฉะนั้นในทุกกิจกรรมในทุกจังหวะการดำรงชีวิตถามตัวเองเสมอว่ามีเงินเหลือหรือเปล่า
ความรู้ ต่อการลงทุน คือสิ่งที่ต้องมี
มีคนถามโค้ชทุกวันว่า มีเงินเท่านี้ลงทุนอะไรดี ซึ่งเป็นคำถามที่ตอบยากมาก เพราะคำว่าลงทุนอะไรดี มันมีมิติในการมองเยอะมาก
1. ไม่รู้ว่าคุณจะเอาเงินไปทำอะไร หวังผลจากเงินก้อนนี้เท่าไร ถ้าอยากเก็บเป็นเงินสำรอง ก็จะไม่ชวนลงทุนโหดร้ายมาก แต่ถ้าหวังผลถึงเกษียณ เราก็อาจจะให้ลงทุนที่เสี่ยงขึ้นมาหน่อยได้แต่ต้องลงทุนยาว
2. คุณรู้จักการลงทุนอะไรบ้าง และคุณรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้นโค้ชตีความได้มั่นใจเลยว่า ถ้าใครถามคำถามนี้ แสดงว่ายังไม่รู้จักเรื่องการลงทุนดีพอ หลังจากศึกษามากขึ้นแล้ว โค้ชพบว่า โลกของเรามันไม่มีอะไรเสี่ยงมากหรือน้อย มันมีแต่รู้มากหรือน้อยเท่านั้นเอง คนที่มี ความรู้ ในทรัพย์สินใดๆ ก็จะสามารถจำกัดความเสี่ยงจากการลงทุนนั้นๆ ได้
อยากจะบอกว่าโลกนี้ไม่มี High Risk, High Return มีแต่ High Understanding, High Return ไม่ว่าจะลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ ลงทุนทำธุรกิจอะไรสักอย่าง โค้ชเชื่อว่า ความรู้ เป็นเรื่องสำคัญมาก คนที่ไม่รู้ ลงทุนพลาด เพราะร้อนใจตั้งแรก ได้ยินอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ก็กังวลว่าอันนี้จะกระทบกับการลงทุนของเราหรือเปล่า เช่น ช่วงนี้มีประกาศเรื่องการจัดการห้องเช่า คอนโดให้เช่า บางคนก็ตื่นเต้นไปก่อน พอเห็นว่าบ้านเช่ามีปัญหากลัวเดือดร้อนไปด้วย ไม่ได้รู้จริงๆ ว่าเขาโฟกัสไปที่ทรัพย์สินที่แบ่งยูนิต คอนโดห้องเดียวไม่เกี่ยวตั้งแต่แรก
ไม่มีใครสามารถทำเงินจากทรัพย์สินใดๆ ได้เกินไปกว่าขอบเขตทางความรู้ของคนคนนั้น รู้น้อยก็สมควรจะได้น้อย คนที่เขารู้มาก ลงทุนเก่ง เขาอุทิศเวลา ก็สมควรได้มาก โลกค่อนข้างจะตอบแทนทุกอย่างสมเหตุสมผล
บางคนไม่เข้าใจคิดว่าการลงทุนเป็นเรื่องง่าย แค่มีเงินสักก้อน เอาไปวางไว้ในสินทรัพย์สักอย่าง เช่น อยากลงทุนคอนโดก็ไปซื้อใบจองมา ช่วงนี้ที่ดัง เช่น Cryptocurrency แทบเอาทุกอย่างไปลง ถามว่ารู้จักไหมก็ไม่รู้ คนที่เขารู้ เขายังจำกัดความเสี่ยงของตัวเองเลย ใส่ลงไปแค่ 5% ของพอร์ต คนที่ไม่รู้ก็มาเต็มเหนี่ยว เพราะหวังว่าจะช่วยให้รวยเร็วขึ้น คนที่ลงทุนเขารู้อยู่แล้วว่า ของสิ่งนั้นจะขึ้นได้แค่ไหน ลงได้แค่ไหน เพียงแต่เขายังไม่รู้จังหวะเวลาที่แน่นอน แต่ทุกคนมีการป้องกันความเสี่ยงไว้แล้วว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นจะจัดการกับมันอย่างไร
การลงทุนคือแผนการ
เวลาใครมาปรึกษาเรื่องการลงทุน เช่น มีเงิน 200,000 บาท แล้วถามว่าจะลงทุนอะไรดี โค้ชจะถามกลับไปว่า
1. เงินก้อนนี้ตั้งใจให้เติบโตไปเป็นอะไร เป็นเงินสำรองไว้ใช้จ่าย เป็นเงินเกษียณ เป็นทุนการศึกษาให้ลูก หรือเก็บไว้กรณีเจ็บป่วย หรือไว้ท่องเที่ยว แต่งงาน ซื้อบ้าน ซื้อรถ คนส่วนใหญ่มาถึงก็แค่อยากให้เงิน 200,000 บาทโต ซึ่งจริงๆ ทำอะไรก็โตได้หากเข้าใจ วัตถุประสงค์ของแต่ละเป้าหมายมีเครื่องมือที่เหมาะสมไม่เหมือนกัน หลายคนอาจตอบว่าเก็บเพื่อเกษียณ โค้ชเลยถามต่อว่า พร้อมใช่ไหมสำหรับการลงทุนยาวๆ เช่น วันนี้คุณอายุ 30 ปี อีก 30 ปีเกษียณ แสดงว่าจะไม่ใช้เงินนี้ 30 ปีเลยใช่ไหม
2. วันนี้คุณมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินหรือยัง คุณควรมีเงินก้อนนี้ไว้ก่อน เพราะถ้าเอาเงินทั้งหมดที่มีไว้ลงทุน เกิดมีความจำเป็นใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมา เราไม่ควรเอาเงินจากพอร์ตลงทุนมาใช้ เช่น ตกงาน ต้องใช้เงินเลี้ยงดูตัวเองช่วงหนึ่ง จะได้ไม่ต้องขายหรือเทพอร์ตทิ้งเพื่อกินอยู่ใช้จ่าย
3. คุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหนอย่างไร คุณรู้จักหุ้นไหม หุ้นคืออะไร มันไม่ใช่เอาเงินไปวาง แล้วผู้จัดการกองทุนทำให้โตอย่างเดียว มันสามารถติดลบได้ และถ้าเข้าใจมากพอว่า การลงทุนระยะสั้นมีความเสี่ยง ระยะยาวหน่อย ความเสี่ยงก็จะลดลง นอกจากนั้นระหว่างทางยังมีอีกเยอะ เช่น หุ้นโต ต้องมีการปรับพอร์ตหรือเปล่า ตรงนี้เรียกว่าแผนการ คือการกำหนดแนวทางการจัดการกับการเงินการลงทุนให้ชัดเจน เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุต่างๆ ขึ้น เราจะตัดสินใจได้อย่างชัดเจน เช่น หุ้นตก 10-20% จะทำอย่างไร คนที่ไม่มีแผนการจะตกใจอย่างเดียว ซึ่งอาจเกิดจากการไม่เข้าใจด้วย ไม่มีแผนการด้วย หุ้นตกเลยเทขาย ปรากฏว่าหุ้นก็กลับมา เราก็ขาดทุน เลยแหยงและไม่อยากลงทุนในหุ้น ซึ่งความจริงแล้วมาจากการที่เราไม่พยายามที่จะเรียนรู้ให้เข้าใจและวางแผนการลงทุนให้ชัดเจน
ส่วนอสังหาริมทรัพย์ คนชอบถามว่า ตั้งใจะซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่า เลยถามกลับไปว่า รู้ไหมว่าการประเมินราคาเป็นอย่างไร ซื้อมาแล้วเราจะจัดสรรเรื่องเงินกู้กับเงินส่วนตัวอย่างไร มีวิธีบริหารหนี้ให้ลดลงเร็วขึ้นไหม ปรับแต่งอย่างไรระหว่างถือครอง เงินค่าเช่าแต่ละเดือนบริหารอย่างไร เงินเกินต่างๆ เก็บสะสมไว้หรือเปล่า เผื่อผู้เช่าไม่มี เราก็สามารถผ่อนได้ในระยะเวลาสั้นๆ จนถึงเมื่อมีคนซื้อ ควรขายไหม ทั้งหมดเป็นคำถามล้วนๆ ถ้าตอบคำถามเหล่านี้ได้จะทำให้การลงทุนชัดเจน และจัดการปัญหาที่เข้ามาได้ดีขึ้น
ลูกศิษย์โค้ชคนหนึ่งไปซื้อบ้านราคา 700,000 บาท แล้วปล่อยเช่า หักค่าเช่าจากเงินผ่อนธนาคารแล้วได้ 1,500 บาททุกเดือน ถัดมาปีเศษ รถไฟฟ้าแบริ่งผ่านตรงนั้น รอบบริเวณขายกัน 1,200,000 บาท เขาถามว่าควรจะขายดีไหม นี่คือลักษณะของการไม่มีแผนการ โค้ชตอบเขาไปว่า ถ้าเกิดขายวันนี้ 1,200,000 บาท เราได้กำไร 500,000 บาท แต่ถ้าเราเก็บเดือนละ 1,500 บาทไปทุกเดือน นานไหมกว่าจะได้หลักแสน เขาก็ตัดสินใจขายเลย อันนี้ยังเป็นสถานการณ์ด้านบวก เพราะมีกำไรรออยู่ตรงหน้า ถึงแม้ไม่มีแผนก็ยังพอปรึกษากับใครได้ทัน
แต่ถ้าเป็นด้านลบราคาทรัพย์สินตก หุ้นตก แล้วไม่ได้เตรียมการมาก่อน จะสร้างความเจ็บปวดและผลกระทบเชิงลบทางการลงทุนได้มากทีเดียว จำไว้ว่าการลงทุนคือแผนการ ทุกครั้งที่จะลงเงินไปใส่ทรัพย์สินอะไรก็ตาม เรารู้วิธีการจัดการกับมันหรือเปล่า ถ้ารู้และมีแผนการก็ลงทุนได้เลย
เงินวิ่งตามคุณค่า
ตอนที่ทำงานมากๆ การช่วยเหลือคนได้มากน้อย มีผลพอสมควรกับเรื่องมูลค่าของงานหรือความมั่งคั่งที่จะตามมา ถ้าเราทำงานแล้วเราช่วยคนได้ 1-2 คน เราก็จะได้เงินประมาณหนึ่ง แต่พอเราทำงานที่ช่วยคนกลุ่มใหญ่ขึ้น แม้ว่าเงินที่ได้รับอาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ทำให้เรามั่งคั่งและมีเงินเข้ามามากได้ในภายหลัง
คนที่สร้างคุณค่าได้มากก็จะสร้างเงินได้มาก คุณค่าที่โค้ชหมายถึงคือความสามารถที่เรามีและไปทำให้มันเป็นประโยชน์กับคนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าทำให้เกิดประโยชน์ให้กับคนได้มาก เราก็มีคุณค่ามาก เมื่อมีคุณค่ามาก ความมั่งคั่งก็จะวิ่งตามมา เหมือนคนที่ทำก๋วยเตี๋ยวอร่อยแล้วอยู่ในซอยก็จะมีแค่คนในซอยเท่านั้นที่ได้กินก๋วยเตี๋ยวเรา แต่ถ้าเจ้าของร้านเริ่มคิดขยายสาขา มีคนได้กินก๋วยเตี๋ยวมากขึ้น เขาก็มีโอกาสได้เงินมากขึ้น งานอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เช่น เป็นครูกวดวิชาที่เก่งมากคนหนึ่ง ทุกวันนี้สามารถ Broadcast ความรู้ ความสามารถไปได้มาก แถมยูทูบ เฟซบุ๊กก็เป็นเครื่องมือที่ดีที่จะทำให้คนเห็นมากขึ้น หรือแม้แต่เป็นนักแสดงแล้วมีคนชื่นชอบเยอะ ก็สามารถสร้างความสุขให้กับคนหมู่มาก ความมั่งคั่งจะวิ่งไปหาเขา
Credits
The Host จักรพงษ์ เมษพันธุ์
Show Creator จักรพงษ์ เมษพันธุ์
Episode Producer เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Episode Editor เชษฐพงศ์ ชูประดิษฐ์
Sound Designer & Engineer ศุภณัฐ เดชะอำไพ
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director อนงค์นาฎ วิวัฒนานนท์
Shownote อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
Proofreader ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
Webmaster จินตนา ประชุมพันธ์
Music Westonemusic