วันนี้ภูมิใจเสนอ เรื่องราวชีวิตในรั้วในวัง ความรัก ความฝัน และการต่อสู้ของหญิงสูงศักดิ์ หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล
“วังก็คือบ้านนี่แหละ บ้านที่มีระดับหม่อมเจ้าอยู่เขาก็เรียกวังแล้ว มันคือราชาศัพท์ แต่ไม่มานุ่งผ้าแถบหรือกระโจมอก แต่ว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับเจ้านาย คือท่านปู่ ท่านเป็นหม่อมเจ้าองค์เดียวที่อยู่บ้าน มันจะมีบ้านหลังใหญ่ เราจะเรียกบ้านใหญ่ บ้านเล็กก็คือบ้านที่สร้างขึ้นมา ซึ่งพ่อแม่อยู่ตอนแต่งงาน แล้วเราก็อยู่บ้านนั้นมา แต่ท่านปู่อยู่ชั้นบนของท่านใหญ่ คุณย่าก็อยู่ชั้นล่างของบ้านใหญ่ เรามีความรู้สึกว่าบ้านใหญ่ ไม่ใช่พื้นที่ที่เราจะไปเอะอะมะเทิ่ง ค่อนข้างขลัง เพราะท่านปู่ประทับอยู่ที่นั่น แต่พี่เป็นหลานคนเล็กที่คอยกะล็อกกะแล็ก คอยวิ่งไปเฝ้าท่านได้ แต่ลูกผู้หญิงต้องตื่นเช้าลงมาช่วยงาน ปอกหอม ปอกกระเทียม วันนี้คุณย่าอยากทำขนมพาย พี่ก็โดนปั้นแป้งพาย ตอนเริ่มเขาก็หัดให้เราปั้นยุบๆ อย่างน้อยก็ให้เราได้จับได้ทำ ซึ่งนี่แหละพี่ถึงได้บอกว่ามันเป็นบทเรียนที่เราได้มาโดยไม่รู้ตัว
“จะบอกว่า สิ่งที่พี่ไม่รู้แล้วมารู้ตอนโตก็คือว่า พอถึงชั้นเรียนที่เราต้องเรียนราชาศัพท์ในวิชาภาษาไทย เราก็จะสงสัยว่าเรียนทำไม เพื่อนก็ท่องกันใหญ่ เราก็สงสัยว่าท่องทำไม พวกเธอไม่ได้ใช้ทุกบ้านทุกวันเหรอ เราคิดว่าทุกบ้านเขาพูดภาษาอย่างนี้ แต่พอดูหนังจักรๆ วงศ์ๆ ทำไมวังเขาเป็นอย่างนี้ วังเราไม่เป็นบ้าง พอมารู้ตอนหลังคือ เรายังมีเจ้าอยู่ในบ้าน แต่จริงๆ มันก็คือบ้านธรรมดาที่เรียกว่าวัง”
สำหรับปริศนา ชีวิตของหล่อนคงเริ่มต้นขึ้นเมื่อหล่อนเดินเข้าไปในงานเลี้ยงเต้นรำ ณ วังท่านชายพจน์ แต่สำหรับหม่อมหลวงขวัญทิพย์ ชีวิตของหล่อนนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่องานเลี้ยงเลิกรา และหล่อนตัดสินใจเดินออกจากวังเทวะเวสม์ แห่งราชสกุลเทวกุล
“ความรู้สึกตอนนั้นสำหรับผู้หญิงอายุ 23 ปี การตัดสินใจแต่งงาน เราไม่ได้หวังว่ามันจะมีการจบ นั่นคือข้อแรก เราอยากทำให้ดีที่สุด ส่วนข้อสอง การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในชีวิตอันนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้น ฉะนั้นมันก็เหมือนการตื่นเต้นของใหม่ในชีวิต และเราอยู่ในช่วงปรับตัว แต่ปรับตัวก็เรียกว่ามีความสุขพอควร เพราะมันไม่มีอะไรเป็นภาระหรือเป็นความทุกข์ใดๆ ก็เป็นความสุขระดับหนึ่ง และเป็นความตื่นเต้น กับการที่ได้ออกไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพราะเมื่อก่อนอยู่ที่บ้าน คุณแม่ของพี่ค่อนข้างเข้มงวด จะไปไหนก็ลำบาก กฎระเบียบเยอะ แต่ตอนนี้ฉันจะได้เป็นตัวของตัวเองเสียทีแล้ว พี่ก็แต่งงาน ในช่วงแรกตื่นเต้นดี พอแต่งงานได้สักไม่ถึงเดือน ก็เดินทางไปอยู่ที่อเมริกา เพราะว่าอดีตสามีเขามีกิจการอยู่ที่นั่น”
หล่อนตัดสินใจทิ้งงานที่ทำ ฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนหนึ่ง โบยบินตามเขาไปอเมริกา ดินแดนแห่งอิสรภาพสำหรับใครๆ แต่มันคงเป็นดินแดนแห่งความรักสำหรับหล่อน
“พี่กลับคิดว่าการไปอยู่ที่อเมริกาเป็นเรื่องดี เพราะว่าได้ใช้ชีวิตครอบครัว ได้ใช้ชีวิตคู่จริงๆ พี่อยู่ในเมืองเล็กๆ ชื่อว่าโอเชียนซีตี้ที่รัฐแมรีแลนด์ ที่นั่นเป็นเหมือนเมืองคนแก่ เพราะตกเย็นก็ไม่มีอะไร ถ้าไม่ไปออกกำลัง เล่นเทนนิส ก็ตีกอล์ฟ ชีวิตครอบครัวเรียกว่าอยู่ดีจริงๆ ไม่มีการวอกแวกของกลุ่มเพื่อนที่พากันออกไปไหนต่อไหน ไม่มีการวอกแวกเรื่องผู้หญิง ทำงานเสร็จกลับมาบ้านแล้วใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน มีกลับมาเที่ยวกรุงเทพฯ บ้าง จนลูกสองคนเกิดที่โน่น”
และแล้วทั้งสองก็ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป เช่นเดียวกับคู่ของวนิดาและพันตรีประจักษ์ แต่ที่นิยายทุกเรื่องไม่ได้บอกคือ เรื่องราวหลังจากจบบริบูรณ์ หลังจากช่วงเวลาของสายลมรักผ่านพ้น ก็เป็นเวลาของพายุแห่งความจริง
“พี่เชื่อว่าพี่ไม่ได้ตัดสินใจผิด แต่ตัดสินใจได้ดีที่สุดเท่าที่เด็กอายุ 23 ปี จะตัดสินใจได้ นั่นก็คือข้อแรก พ่อแม่ของเราเป็นเพื่อนกัน ดูว่าทางฝ่ายชายฐานะมั่นคง และที่สำคัญแก่กว่าพี่ 15 ปี ซึ่งตรงนี้ในอายุขนาดนั้น พี่เชื่อเลยว่ามันน่าจะดี ทีนี้เนื่องจากทางอดีตสามีพี่เป็นลูกชายคนเดียว พี่ก็คิดว่า ในเมื่อพ่อแม่ของเขาอยากอยู่กับหลาน ยิ่งหลานเป็นผู้ชาย ยิ่งตื่นเต้นมาก อะ กลับก็กลับ กลับมาเมืองไทยก็มีลูกคนที่สาม ผู้ชายเหมือนกัน พี่มานั่งย้อนคิดดูว่าการที่เราเห็นใจว่า คุณพ่อคุณแม่จะได้อยู่กับลูกกับหลานที่เมืองไทย พี่ว่านั่นคือการเริ่มต้นปัญหา
“การกลับมาอยู่เมืองไทย พี่ต้องเลี้ยงลูกเองอยู่แล้ว แต่มีผู้ช่วยบ้าง แต่อยากจะบอกว่า พี่อาจจะผิดที่ให้เวลากับลูกมาก เพราะเขายังเล็กทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกัน คุณผู้ชายก็เริ่มสนุกกับชีวิตที่เมืองไทย นั่นคือตีกอล์ฟ 7 วัน นั่นคือเพื่อนชวนไปไหนต่อไหนก็ไปหมด แต่พี่ก็ยังให้เกียรติด้วยการไม่ถืออะไร พี่ถามว่าเล่นกอล์ฟเสร็จจะกลับมากินข้าวที่บ้านไหม จนกระทั่งวันหนึ่งพี่ได้คำตอบว่า เช้าพี่เห็นหน้าอยู่ที่กรุงเทพฯ ตกเย็นพอโทร.ถามว่าจะกลับมากินข้าวที่บ้านหรือเปล่า นี่พี่ไม่ได้ตามนะคะ พี่ไม่ใช่คนตาม แต่จะได้เก็บอาหารไว้ให้ เขาตอบว่าไม่กลับหรอก อยู่เชียงราย พี่ก็ ‘หืม มันใช่ไหม กับชีวิตคู่’ เช้าอยู่ตรงนี้ เย็นไปอยู่ตรงโน้น แล้วเราคือใคร และสิ่งที่เราทำคืออะไร เราก็ทำให้ครอบครัวใช่ไหม ไม่เคยบกพร่องเรื่องครอบครัว หรือเขาอาจจะคิดว่าพี่ผิดก็ได้ พี่ไม่รู้ วันนั้นพี่ก็มานั่งมองว่าเราเป็นใครหรือ พี่เลยหันไปมองตลอดเวลาที่ผ่านมา มันเหมือนพี่อาจจะผิดเองที่ไม่เคยจ้ำจี้จ้ำไชถามอะไรทั้งสิ้น พี่มานั่งคิดว่าเราอยู่กับลูกมากเกินไปไหม เวลาเหล่านี้เราปล่อยเกินไปหรือเปล่า มันก็เลยกลายมาถึงจุดนี้ พี่นั่งดูต่อไป เขาไปทำงานให้ครอบครัวที่ต่างจังหวัด เขาเคยถามพี่บ้างไหมว่า เขาจะไปอยู่ยาวทางโน้น แรกๆ ก็บอกว่า วันธรรมดากลับมาอยู่กรุงเทพฯ เสาร์-อาทิตย์ถึงจะไปอยู่โน่น แต่ก็ไม่เกิดขึ้นจริง พอวันเกิดลูก ลูกก็ตั้งท่าว่าพ่อจะกลับมา แต่พ่อกลับโทร.มาบอกว่า พอดีมีเพื่อนมาเล่นกอล์ฟ มันเริ่มไปถึงลูก ซึ่งมันไม่ถูกต้องแล้ว พี่ไม่ได้ไม่เจรจานะ พี่คุย แต่พี่เชื่อว่าเขาเป็นคนไม่ชอบปัญหา พี่พยายามคุยแบบสามีภรรยาคุยกันว่า ลูกผู้ชาย 3 คน คุณอยู่กับลูกบ้างไหม ช่วยจัดเวลาบ้าง เขาบอกว่า พี่จะมาเรียกร้องอะไร เสียใจก็ไม่ได้ พอน้ำตาไหลปุ๊บก็หาว่าพี่ดูละครเยอะไป เขาไม่เข้าใจ ฉะนั้นพี่ก็เลยมีความรู้สึกว่า เราคงคุยกันไม่ได้”
หม่อมหลวงขวัญทิพย์กล้ำกลืนน้ำตาไว้ในอกตรม เหลือเพียงรักที่มีให้ลูกๆ เฝ้ารอวันที่…
“ความรู้สึกมันโดนวิดออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคิดอยู่ 10 ปี ลูกคนสุดท้องของพี่เป็นนาย เมื่อนั้นพี่ก็เลยเริ่มคุยกับเขา วันนั้นพี่หลอกเขาไปคุยบ้านพี่สาวสามี โดยมีพี่สาวคนโตของพี่ด้วย ทุกคนไม่รู้เลยว่าเชิญทุกคนมาทำไม พี่พาเขาไปด้วย สิ่งที่พี่พูดออกมา คนที่เข้าใจที่สุดคือพี่สาวของพี่เอง เพราะเขาอยู่กับเรามาตลอด เขาช่วยกันเลี้ยงลูกมา พี่ต้องเลี้ยงลูกเองอย่างไร เขาเข้าใจทันที เพราะว่าพี่เป็นคนพูดชัด พี่จะเคลียร์ลำดับขั้นตอนให้เรียบร้อย คนที่ไม่เข้าใจคนเดียวคือคุณผู้ชาย ไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าตัวได้ทำอะไรกับครอบครัว แต่พี่ก็ไม่ได้ผลีผลามนะ พี่บอกว่าพี่ให้เวลาเขา 1 ปีที่จะคิดว่าจะกลับมาใหม่อีกครั้งไหม โดยการอยู่ในบ้านเดียวกันนั่นแหละ แต่เขาแยกไปอยู่อพาร์ตเมนต์ข้างหน้า แต่อยู่ในบริเวณเดียวกัน แค่ 3 เดือน เขาก็เดินกลับมาบอกว่า เขาดีอยู่แล้ว เขาไม่ต้องเปลี่ยนอะไรอีกแล้ว เมื่อวันที่พี่จะหย่า พี่ก็คุยกับลูกปุ๊บ ลูกใช้คำหนึ่งว่า เราก็อยู่ของเราแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เป็นไรหรอกคุณแม่ ลูกคนที่สองก็ซักขึ้นมาว่า แล้วทำไมคุณแม่ไม่เคยว่าคุณพ่อเลย พี่บอกเขาว่า จะว่าทำไม เขาเป็นพ่อ แม่อาจจะวันดีคืนดีเดินออกไปตกท่อตาย ใครจะมาดูลูก เขาก็ต้องดู ถ้าแม่ว่าเขา แล้วจะดูกันได้ไหม นี่เป็นอีกข้อหนึ่งที่พี่จะสอนผู้หญิงที่กำลังมีปัญหาในชีวิตคู่และมีลูก อย่าว่าพ่อให้ลูกฟังเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอยู่ที่คุณกับเขา และจะดีชั่วอย่างไร ถ้าเราเลี้ยงลูกมาขนาดนี้ ลูกเห็นเองทุกอย่าง ลูกเลือกเองที่จะเป็นอย่างไร ลูกเลือกเองที่จะเข้าใจเรื่องราวอย่างไร แต่เราก็เคารพในความเป็นตัวเขา เขาไม่ใช่คนไม่ดี แต่เขาเป็นอย่างที่เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะพี่ก็ไม่ได้บอกว่าพี่เป็นคนดี พี่ดีได้แค่นี้ พี่ร้ายได้แค่นี้ แต่พี่ก็เป็นตัวพี่ เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะอยู่กับคนครึ่งดีครึ่งร้ายอย่างพี่ได้มั้ง และพี่ก็รับเขาไม่ได้ในสิ่งที่เขาเป็น เขาอาจจะเป็นคนเรื่อยๆ สบายๆ แต่พี่รับไม่ได้ นี่แหละค่ะถึงได้บอกว่า ไม่ใช่ความผิดใคร หรือไม่ใช่ใครไม่ดี เพียงแต่ว่าเป็นสองคนที่ไม่ตรงกัน ต่อให้พี่คิดมานาน พี่ก็เครียดและเศร้าใจอยู่พักใหญ่ นั่นคือการเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกครั้งหนึ่งของพี่”
เมื่อพายุไม่ใช่เพียงความรักของหม่อมหลวงขวัญทิพย์จากไป แต่ยังพัดพาชีวิต จิตใจ ของผู้หญิงคนหนึ่งให้กระจัดกระจาย รอวันให้หล่อนกอบกู้ตัวเองกลับมาอีกครั้ง
“แต่สิ่งที่ให้พี่ก็คือ บทเรียนของลูกผู้หญิงคนหนึ่งที่ว่า คุณต้องแข็งแรงพอ คุณต้องกล้าที่จะตัดสินใจ ถ้าคุณยอมทนอยู่เพื่ออะไรก็ตาม คุณทิ้งชีวิตของคุณตรงนั้นเลยนะ ตอนหย่ามีคนบอกว่าพี่โง่ พี่ถึงเกลียดคำว่าโง่จับใจมาถึงทุกวันนี้ จะหย่าทำไม เขามีที่ดิน มีเงินทอง หย่าออกไปแล้วผู้หญิงอื่นก็เอาไปกินสิ ทำไมเราไม่กอดทะเบียนไว้ เราได้เปรียบ แต่พี่ก็มานั่งคิดในใจว่า ถ้าพี่กอดทะเบียนไว้ แต่พี่ไม่มีความสุข พี่จะมีชีวิตต่อไปอย่างไร นี่คือคำว่าโง่ในสายตาของคนบางคน ซึ่งเอาวัตถุเป็นหลัก เอาเงินเป็นหลัก”
เมฆฝนไม่คงอยู่ตลอดไป และฟ้าหลังฝนสดสวยเสมอ และแล้วก็ถึงวันที่ หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล ได้เป็นเจ้าของบ้านของตัวเองอีกครั้ง เช่นเดียวกับ พจมาน สว่างวงศ์ ผิดแต่เพียงว่า หล่อนเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องมีชายกลาง หรือชายใดๆ
“บ้านหลังแรกของพี่อยู่กับพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ได้ผิด เพราะลูกสาวใครก็หวง จะไปไหนก็ต้องอยู่ในสายตา ยิ่งพ่อแม่พี่รุ่นเก่าพี่ซ่าไม่ได้ พ่อถามตลอดว่าไปไหน อย่างไร ขนาดไปร้องเพลง ใครจะมาเกาะแกะก็ไม่ได้ เพราะพ่อแม่พี่นั่งโต๊ะหน้าเสมอ มาถึงบ้านหลังที่สองบ้านใหญ่ แต่ภาระพี่เยอะ พี่ต้องดูแลลูก แล้วมาเจอภาระในชีวิตคู่อีกว่า มันพูดคุยกันไม่ได้ มันไม่ได้อิสระอะไรเลย และทั้งสองบ้านมันทำให้พี่คิดว่าพี่ไม่ต้องการพื้นที่ใหญ่ๆ ในชีวิตแล้ว เพราะว่าวันหนึ่งเราเดินอยู่แค่กี่ห้อง แค่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว วนไปอยู่อย่างนั้น แล้วคุณจะไปทำให้มันใหญ่ทำไม ยิ่งใหญ่ภาระก็เยอะ ดังนั้นพี่ถึงเลือกที่จะมาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ เป็นบ้านที่สาม”
ในวัยนี้ หม่อมหลวงขวัญทิพย์ก็ได้ค้นพบว่า ขนาดของความสุขไม่ได้แปรผันตามขนาดของบ้านเลย
“ต้องขอบคุณลูกพี่ลูกน้องที่เข้าใจชีวิตพี่ เขาตกแต่งห้องให้เป็นตัวพี่อย่างมาก มันทำให้ทุกๆ มุมที่พี่เดิน ทุกๆ มุมที่พี่นั่ง ทุกๆ มุมที่พี่ใช้ มันเป็นตัวพี่มาก และพี่อิ่มใจในบ้านของตัวเอง และเป็นพื้นที่ส่วนตัวพื้นที่แรกของชีวิต ซึ่งมาตอนอายุ 57 ปี แต่มันกลายเป็นว่า พี่ไม่เหงากับพื้นที่ตรงนี้ที่อยู่คนเดียวเลย พี่ได้มีเวลาเป็นของตนเอง พี่อยากจะอาบน้ำกี่โมงก็ได้ พี่อยากจะนั่งเล่นตอนไหน นอนเล่นตอนไหน งีบตอนไหนก็ได้ พอหิวก็เปิดตู้เย็นทำอะไรกิน แต่มันเป็นความโล่ง ความสบายใจ”
ขณะที่หล่อนเปิดตู้เย็นทำอะไรกิน ห้วงเสี้ยววินาที หล่อนก็คิดได้ว่า
“คำว่าเหงา สิ่งเหล่านี้มันต้องตั้งระบบความคิดใหม่ค่ะ ทำไมคุณถึงบอกว่าเหงา ทำไมคุณไม่คิดว่าได้อยู่กับตัวเองเสียที นั่นคือการอยู่คนเดียวเหมือนกัน ถ้าคิดลบหน่อยก็เหงา ถ้าคิดบวกก็ได้อยู่กับตัวเองเสียที”
แล้วเรื่องหัวใจล่ะ หล่อนทำใจได้แน่แล้วหรือ
“ถ้าจะมีใครข้างๆ อีกสักคนหนึ่ง พี่บอกเลยว่า พี่เป็นคนชอบมีความรัก แต่ถ้ามีความรักแล้วทำให้เราทุกข์ ก็ถอยไปเถอะ ขออยู่แบบนี้ ปลอดโปร่ง ในวันนี้มันคงไม่ต้องการความหวือหวาใดๆ แล้ว”
อนิจจา! ถ้ามันเป็นความทุกข์ หล่อนคงไม่กลับไปอีก ชีวิตที่ผ่านมา สอนบทเรียนบางบทแก่หล่อน
“พูดไปก็อาจจะหาว่าพี่โม้ แต่มีอีกจุดหนึ่งที่พี่คิดได้ว่า ชีวิตคนเราโดนเขียนมาแล้วว่า ณ เวลานี้เธอจะต้องเจออะไร ต้องสุข ต้องทุกข์ เจอกับใคร ทำให้เธอได้รัก ทำให้เธอได้มีความสุข หรือทำให้เธอได้มีความทุกข์ แต่สิ่งเหล่านั้นคือบทเรียน จำไว้ว่า พี่ระลึกกับตัวเองเสมอว่า ทุกวันนี้พี่มีความสุขได้เพราะบทเรียนที่ผ่านมา ถ้าไม่มีบทเรียนที่หนักหนาในแต่ละครั้งแต่ละครา พี่จะไม่มีการแก้ปัญหา และพี่ก็จะเป็นคุณหนูนั่งสบายๆ ทั้งชีวิตหรือ ประสบการณ์ในชีวิตจะมีหรือ มันจะทำให้เราสู้กับอะไรได้ไหม และจุดนั้นมันทำให้เราคิดว่าต้องแก้ปัญหาสิ มันต้องผ่านไปได้สิ ร้องไห้ได้ไหม ได้สิ ร้องเลย ไม่ห้าม เธอเป็นคน เธอเป็นผู้หญิง มีสิทธิ์ที่จะเสียใจ มีสิทธิ์ที่จะร้องไห้ แต่อย่าจมอยู่ตรงนั้น ลุกขึ้นยืน แล้วเดินต่อไป การทำร้ายตัวเองไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อผ่านตรงนั้นมาได้ จะบอกว่ามันก็คือความภูมิใจ มันภูมิใจในตัวเองน่ะ เพราะฉะนั้นพี่พูดได้เต็มปาก ไม่ได้พูดจากอุดมคติหรือว่าความคิดใดๆ ไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่คุณผ่านไปไม่ได้”
ความแกร่งกล้าของลูกผู้หญิงที่ต้องออกเดินทางตั้งแต่วัยยี่สิบ ก็พาให้หม่อมหลวงขวัญทิพย์กลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวอีกครั้ง
“คำว่าครอบครัวของพี่มันอาจจะใหญ่ แต่นั่นคือไม่มีคำว่าสามีอยู่ด้วย ในวงแคบคือพี่กับลูก ลูกคือสามคนแรกที่เวลามีปัญหาพี่จะพุ่งเข้าไปหา ถัดจากนั้นวงของครอบครัวที่สองคือพี่น้องของพี่ ครอบครัวของพี่น้องพี่ พี่ถือว่าเป็นครอบครัว โดยเฉพาะพี่สาวคนโต พี่จะพุ่งไปขอความช่วยเหลือหรือความเห็น และวงที่สามคือครอบครัวสายท่านปู่เดียวกัน ซึ่งรวมแล้ว 40-50 ชีวิต พี่รู้สึกว่ามีมือคอยจะช่วยเรา มีมือคอยพยุงเรา คุณอาพี่ก็ช่วย แต่ความโชคดีของพี่ที่นอกเหนือจากที่พี่พูดถึงคือ คุณแม่ของอดีตสามีกับพี่สาวของอดีตสามี ซึ่งคุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ว่าพี่สาวเป็นกำลังใจให้พี่ วันที่พี่หย่า พี่จำได้เลยว่าเขากอดพี่ แล้วเขาพูดว่า ถึงน้องป้อมไม่ได้เป็นน้องสะใภ้ ก็ให้ถือเป็นน้องสาวพี่ ซึ่งนับจากวันนั้น เกิน 20 ปีแล้ว เขาก็ยังเป็นพี่สาวของพี่อย่างที่เขาพูดจริงๆ ไม่ว่าพี่จะขอความช่วยเหลืออะไร หรือพี่จะทำอะไร เขาจะมองเรา และคอยสนับสนุนเราเสมอมา”
หลังความสะบักสะบอมทั้งหมดในชีวิต มันทำให้หล่อนรู้สึกโชคดีเหลือเกิน
“และ ณ วันนี้ พี่ก็ก้าวมาสู่ในช่วงที่อยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข ลูกทุกคนเลี้ยงตัวเองได้ อยู่ในวิถีของเขาเอง บทเรียนทั้งหมดที่เขาเจอทำให้ชีวิตของเขาสำเร็จในระดับหนึ่ง พี่ได้พบแล้วว่า พี่สามารถตัดความทุกข์ออกไปได้เยอะมาก พี่เหลือคนรอบข้างที่ทำให้พี่มีความสุข ชีวิตเรามาน่าจะเกินครึ่งแล้ว เราจะทุกข์อีกทำไม ถ้าเราตั้งใจไว้ว่า ตั้งแต่นี้ไปชีวิตเรา เราจะมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นอะไรที่ทุกข์ พี่ไม่เอาอีกแล้ว ดังนั้นพอคิดได้อย่างนี้ พี่ก็เริ่มลดความทุกข์ของตัวเอง นั่นก็คืออะไรที่ไม่ดีกับตัวเรา มันทำให้เราเป็นทุกข์ พี่ค่อยๆ ตัดมันออก หรือจบมันให้ได้ และไม่ไปแตะมันอีก คนไหนหรือสิ่งแวดล้อมใดๆ ที่ทำให้เราไม่มีความสุข พี่ก็พยายามขีดเส้นออกไปจากชีวิตเรา ไม่ต้องไปมีเรื่องกับใคร แค่ตั้งใจกับตัวเอง แล้วก็กันทุกสิ่งทุกอย่าง ค่อยๆ กันออกไป ให้กรอบชีวิตของเรามีแต่ความสุข”
ปริศนา วนิดา พจมาน ต่างพากันอิจฉาหม่อมหลวงขวัญทิพย์ พวกเธอไม่มีโอกาสเล่าเรื่องราวของตัวเองไปจนแก่ ไม่มีโอกาสพูดถึงความฝัน เป้าหมาย สิ่งที่อยากทำเฉกเช่นหล่อน
“ถามว่ามีอะไรที่อยากทำไหม พี่ไม่ได้ตั้งเป้าอะไรเลย เพราะพี่กำลังสนุกกับทุกวันในชีวิต และขอบคุณทีละวัน เพราะช่วงที่ผ่านมาพี่มีคนที่จากไปแบบกะทันหันเยอะมาก มันเป็นเวลาที่เขาไม่ได้บอกอะไรเราก่อนเลย เพื่อนหรือผู้ใหญ่ที่ดูเหมือนแข็งแรงแล้วจากไป ทำให้เรามีความรู้สึก เราขอบคุณที่เรามีวันนี้ และเราจะทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุด เพื่อที่พรุ่งนี้เราจากไป เราจะได้ไม่รู้สึกว่าเราเสียดายอะไรเลย”
และนั่นก็คือฉากและชีวิตของ หม่อมหลวงขวัญทิพย์ เทวกุล ผู้ซึ่งไม่ยอมรับโชคชะตาที่ใครกำหนด และไม่มีวันยอมให้วัยเลขห้ามาพันธนาการตัวเองไว้ แต่ขอเป็นผู้หญิงที่ลิขิตความสุข ความทุกข์ด้วยตัวเอง ท่านผู้ฟังเองก็เช่นกัน ไม่ว่าวัยไหน ทุกบททุกตอน คือนิยายชีวิตที่คุณเป็นผู้กำหนดเอง
จบบริบูรณ์
Credits
Director สิทธิศิริ มงคลศิริ
Subject ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล
Show Creator ภูมิชาย บุญสินสุข
Show Producers อธิษฐาน กาญจนะพงศ์
Narrator จักรวาล นาคนายม
Script Writer วรุณพร ตรีเทพวิจิตร
Sound Designer & Engineer อาทิตย์ วงษ์เมตตา
Coordinator & Admin อภิสิทธิ์ หรรษาภิรมย์โชค
Art Director อนงค์นาฏ วิวัฒนานนท์
Graphic Designer เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล
Proofreader ภาวิกา ขันติศรีสกุล
Webmaster รพีพรรณ เกตุสมพงษ์
- Somewhere I Belong ที่นี่ที่ของเรา สนับสนุนโดย บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์และนวัตกรรมการอยู่อาศัย เพราะเอพีเข้าใจความสุขในทุกรูปแบบของชีวิต
- ครั้งแรกกับคอนโดแนวคิดใหม่ Luxury Gated Community พื้นที่ส่วนกลางตอบโจทย์ทุกเจเนอเรชั่น ช่วยเพิ่มเวลาความเป็นส่วนตัว พร้อมพื้นที่ปลอดภัยไร้กังวล เพื่อกิจกรรมที่ลงตัวของทุกคนในครอบครัวที่ ริธึ่ม เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน
- RHYTHM CHAROENKRUNG PAVILLION คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ตรงข้าม รร.นานาชาติโชรส์เบอรี พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนศรีรัช ใกล้ BTS สะพานตากสิน เพียง 5 นาทีถึง CBD สาทร ใกล้ ICONSIAM เริ่ม 5.39 ล้าน* รับสิทธิพิเศษก่อนใครได้ที่ bit.ly/2N1byD0